เราอยู่ที่ไหน อะไรเป็นเรา
ผู้ถาม ประโยคสุดท้ายยังไม่ค่อยเข้าใจ โดยปกติแล้วในชีวิตประจำวันก็จะเป็นเราทำทั้งหมด
สุ. ถูกหรือผิด
ผู้ถาม แต่ความคิดที่เป็นสภาพธรรมก็เข้าใจแล้วว่าคือเป็
สุ. แล้วเห็นเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ถาม เห็นก็ยังเป็นเรา
สุ. ก็เลยไม่ได้เรียนธรรม จิตเป็นอะไร เจตสิกเป็นอะไร มีลักษณะยังไงก็เลยไม่รู้
ผู้ถาม ทีนี้ถ้าสมมุติเรามีความเข้าใจ เห็นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งก็ไม่ใช่เรา แต่ในชีวิตประจำวันก็ยังมีเราที่กระทำทั้งกุศล และอกุศลอยู่
สุ. แล้วทำเห็นหรือเปล่า
ผู้ถาม เห็นไม่ได้ทำ
สุ. แล้วทำไมทำกุศล
ผู้ถาม ท่านอาจารย์จะกล่าวว่าแม้กุศลหรืออกุศลก็คือไม่ใช่เราทำ
สุ. ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าเรายังไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่มีทางที่เราจะละความเป็นเราได้ ไม่มีทางที่จะรู้ว่าสติปัฏฐานเมื่อมีปัจจัยจึงเกิด ไม่ใช่ให้เราไปนั่งทำอะไรด้วยความเข้าใจว่าเราทำ แต่มีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่าธรรมเป็นธรรม ธรรมใดเกิดก็เพราะว่ามีเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพราะเราทำให้เกิด เราทำให้อะไรเกิดได้ ลองคิดดู ถ้าเราทำได้ เราก็ทำกุศลหมดเลย แล้วก็ทำปัญญาให้มาก ทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมวันนี้เลย
ผู้ถาม อย่างนั้นในวันหนึ่งๆ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดกับเราก็เป็นสภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน
สุ. ธรรมเป็นธรรม ทั้งหมดเป็นธาตุ แข็งเกิดขึ้นได้ยังไง ใครทำให้เกิดแต่มี เป็นรูปธาตุซึ่งแข็งฉันใด นามธาตุก็เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่งซึ่งต่างจากรูปธาตุ แต่ก็ไม่มีใครทำ เป็นธรรม เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิด ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เพิ่มขึ้นก็จะคลายความเป็นเรา และศึกษาธรรมด้วยความเข้าใจขึ้น และก็สามารถที่จะมีปัจจัยที่ทำให้สติสัมปชัญญะเกิดรู้ตรงลักษณะซึ่งเราพูดว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่นี่ขั้นพูด แต่ทุกอย่างจริงๆ เมื่อสติสัมปชัญญะระลึกทุกลักษณะที่ปรากฏจึงจะรู้ว่าลักษณะนั้นๆ เป็นธรรม นี่เดี๋ยวเราทำ เดี๋ยวเราไม่ได้ทำยังไงกันแน่ ก็ไม่ตรงใช่ไหม ก็ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่สัจจธรรม ถ้าสัจจธรรมแล้วไม่เปลี่ยน
ผู้ถาม อย่างนั้นในวันหนึ่งเราเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดเพราะเราทำก็เป็นความเห็นผิด และความเข้าใจผิดโดยตลอด
สุ. ขณะที่คิดก็เป็นจิต และเจตสิกนั่นเองที่คิด ถ้าไม่มีจิต และเจตสิกจะคิดอย่างนั้นหรือ
ผู้ถาม แต่มันไม่ใช่ความจริงนี่คะ
สุ. ถ้าอย่างนั้นเราอยู่ ที่ไหน
ผู้ถาม นั่งอยู่ตรงนี้
สุ. แล้วเราอยู่ที่ไหน หาสิคะ เราอยู่ที่ไหน นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วเราอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นการศึกษาธรรมจะไม่มีประโยชน์เลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ทรงตรัสรู้เพื่อให้ผู้ฟังค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เห็นถูกจนกระทั่งถึงสามารถประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง และผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงก็เป็นจำนวนมากมาย เพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกโดยฉันทะ โดยวิริยะ ผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมจะมีการเข้าใจว่าเห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรากุศลเป็นเรา อกุศลเป็นเรา แต่ถ้าศึกษาแล้วค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เรา แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะนั้นๆ เพราะฉะนั้นก็มีปัญญาอีกระดับหนึ่ง สุตตมยปัญญา (ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง) จินตามยปัญญา (ปัญญาที่สำเร็จจากการไตร่ตรอง) ความเข้าใจจึงเพิ่มขึ้น ภาวนามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการอบรมความรู้ถูก ความเห็นถูกในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ) ถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏจะไปตู่หรือว่าเข้าใจเอาเองว่าเข้าใจแล้ว เข้าใจอะไร ในเมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏนี่เข้าใจหรือยัง
ผู้ถาม แล้วอะไรเป็นเรา
สุ. มิจฉาทิฏฐิ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอกุศลเจตสิก เข้าใจผิดว่าสิ่งที่มีนั้นเป็นเรา แต่ความจริงเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง แม้แต่มิจฉาทิฏฐิก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่เกิดกับพระโสดาบันบุคคลใช่ไหม ก็แสดงว่าเป็นสภาพธรรมซึ่งก่อนนั้นมีแต่ดับหมดเป็นสมุจเฉทเมื่อเป็นพระโสดาบัน
ที่มา ...