การศึกษาธรรม เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตา
อ.วิชัย เรียนถามอาจารย์ว่าลักษณะของนามธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างกัน ฉะนั้นขณะที่สติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกรู้ ก็ระลึกรู้ในลักษณะทีละอย่างของสภาพธรรม แต่ว่าจะรู้สึกว่าเข้าใจเพียงลักษณะรู้ ธาตุรู้เท่านั้นเอง
สุ. ที่กล่าวอย่างนี้เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก อย่างขณะนี้ถ้ากล่าวถึงจิตเห็นก็เหมือนกับว่าดับไปแล้วเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกล่าวถึงสภาพธรรมใดหรือสติสัมปชัญญะกำลังรู้ตามลักษณะของสิ่งที่จิตก่อนได้รู้ ขณะนั้นก็ดับไปแล้ว เพราะฉะนั้นการเกิดดับอย่างเร็วมากของสภาพธรรมก็จะทำให้ในขั้นต้นก็จะรู้เพียงแต่ว่าขณะนั้นสติเกิดต่างกับขณะที่หลงลืมสติเท่านั้นเอง เพราะว่าสภาพที่สติระลึกก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่าเพียงสักแต่ว่าระลึก เพราะเหตุว่าสภาพธรรมมีแต่เกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นเมื่อสติสัมปชัญญะเกิดแล้วระลึกสภาพธรรมนั้นก็ดับ พร้อมทั้งสติก็ดับด้วยๆ เหตุนี้จึงเห็นได้ว่าเวลาที่เราฟังพระธรรมแล้วก็มีความเข้าใจว่าขณะนี้ไม่เที่ยง เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับแต่ว่าการที่เราฟัง ความรู้เราแค่ไหน ไม่สามารถที่จะดับกิเลส ไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมซึ่งเกิดสืบต่ออย่างเร็วมากว่าเป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะฉะนั้นการเจริญเติบโตของปัญญาจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยก็จะทำให้ถึงกาละที่สามารถประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับเพราะว่ามีลักษณะที่ต่างกันตามปกติ เมื่อนั้นก็จะค่อยๆ ไถ่ถอนความเป็นเราซึ่งเพียงศึกษา เรากำลังศึกษาเรื่องราวของสภาพธรรมซึ่งเป็นจริงอย่างนั้นคือลักษณะของอกุศลจิตก็มีหลายประเภทในขณะนี้ โลภะก็มี โทสะมีไหม โมหะมีไหม ก็มี แต่ว่าเกิดดับเร็วสืบต่อกันจนกระทั่งไม่สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าลักษณะใดเป็นลักษณะของโมหมูลจิต หรือว่าลักษณะใดเป็นลักษณะของโลภมูลจิต เพราะว่าโมหมูลจิตเกิดกับความรู้สึกเฉยๆ โลภมูลจิตก็เกิดกับความรู้สึกเฉยๆ ได้ เพราะฉะนั้นจะแยกได้อย่างไร แยกโดยขั้นเพียงฟัง เข้าใจ แต่ว่าลักษณะของจิตยังไม่ได้รู้ลักษณะของจิตหนึ่งจิตใดเลยทั้งสิ้นถูกต้องหรือเปล่า เพราะว่ากำลังกล่าวถึงเรื่องของจิตเห็น ไม่ได้รู้ลักษณะของจิตที่กำลังเห็นกำลังกล่าวถึงจิตได้ยิน ก็ไม่ได้รู้ลักษณะของจิตได้ยิน เพียงแต่ว่ามีได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าลักษณะน้้นที่ได้ยินเป็นสภาพของจิต เป็นนามธรรมซึ่งต่างกับเจตสิก เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าการอบรมเจริญปัญญาต้องอาศัยการฟังตามลำดับขั้น ถ้าไม่ฟังเรื่องจิตเลยจะรู้ไหมว่าทุกวันที่เห็นที่ได้ยินไม่ใช่เรา แล้วเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปด้วย แต่เมื่อฟังแล้วก็รู้ว่าเพียงเท่านี้ไม่ใช่การประจักษ์สิ่งที่เรากล่าวว่าเราเข้าใจ เช่นจิตนี่ไม่ใช่รูป เป็นนามธรรม แต่ลักษณะของนามตราบใดที่ยังไม่ปรากฏโดยความเป็นนามธาตุ หรือธรรมชนิดหนึ่งซึ่งตรงกับที่เราเคยฟังว่าไม่มีรูปร่างสัณฐานเลยแต่ว่าเป็นธาตุรู้ซึ่งแล้วแต่ว่าขณะนั้นเห็น จิตนั่นเองกำลังเห็น เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่กำลังฟังแล้วมีเห็น แล้วก็เข้าใจ ก็เริ่มที่จะเข้าใจทีละน้อยว่าขณะนี้ก็เป็นธาตุที่กำลังเห็น เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง นี่คือการอบรมเจริญปัญญา ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏจะชื่อว่าอบรมเจริญปัญญาไม่ได้ เพราะไม่มีวันที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏจนกว่าจะฟัง และเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ขณะนั้นก็จะรู้ว่าทุกอย่างที่ได้ทรงแสดงไว้เป็นความจริง
อ.วิชัย การศึกษาในส่วนละเอียดก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งให้ปัญญาค่อยๆ จะรู้ขึ้น แต่ไม่ใช่รู้ทันทีในขณะที่กำลังศึกษาอยู่ใช่ไหม
สุ. การศึกษาธรรมโดยละเอียด จริงๆ แล้วก็คือเพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น แต่ว่าขณะนี้ศึกษาโดยละเอียดคือมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าสิ่งนี้ไม่มีจิตเห็นเกิดขึ้นไม่ได้ โดยละเอียดคือสิ่งที่มีกำลังปรากฏเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตเกิดขึ้น
หมายเหตุ เสียงซ้ำ 10365
ที่มา ...