เสียงเป็นธรรมได้ยังไง
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้อธิบายสักครู่นี้ ก็มีความสงสัยว่า ธรรมะเป็นเรื่องจริง ขณะนี้ก็ได้ยินเสียง ผมก็ไม่ทราบว่า เป็นธรรมะอย่างไร แต่รู้ว่ามันมีจริงๆ เสียง ได้ยินจริงๆ แต่ผมต้องการจะขยายความว่า ผมจะเข้าใจอย่างไรอีกที่จะรู้ว่า ธรรมะเป็นเรื่องจริงๆ คือ ข้อสงสัย คือว่า ผมยังไม่ทราบอะไรเลย แต่ยอมรับว่า ได้ยินเสียงมีจริงๆ เห็นก็มีจริงๆ แต่ไม่ทราบว่าเป็นธรรมะอย่างไรทั้งหมด
ส. นี่เป็นสิ่งที่มีกับทุกคนตั้งแต่เกิด ไม่พ้นจากธรรมะเลย เพราะธรรมะเกิด ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมะทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่า เป็นธรรมะ จึงต้องฟังพระธรรม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย มีใครจะบังคับธรรมะอะไรในขณะนี้บ้าง มีเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็คิดว่ามีเราที่สามารถจะบังคับหรือทำได้ แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียด ทรงแสดงลักษณะของจิต ตั้งแต่เกิดจนตายสืบต่อกันทุกขณะ ซึ่งไม่มีเราที่จะไปทำอะไรกับการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมะได้ เช่น ในขณะที่กำลังเห็น โดยพระสูตรไม่ได้แสดงโดยละเอียดเลย เห็นแล้วชอบ เห็นแล้วไม่ชอบ แต่ว่าหลังจากเห็นแล้ว จิตอะไรเกิด ทรงแสดงไว้โดยละเอียด เช่น ก่อนที่จะเห็น ต้องมีจิตแน่นอน แต่จิตในขณะนั้นไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไร ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เช่นในขณะที่นอนหลับสนิท ต้องมีจิต ขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้อาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่คิด ไม่ฝัน ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีการได้ยินเกิดขึ้น เปลี่ยนสภาพจากการไม่รู้อะไรเลย ไม่มีอะไรปรากฏเลยในขณะที่หลับสนิท เป็นเสียงปรากฏขึ้น แต่ว่าไม่ได้รู้ความจริงเลยว่า ที่เสียงปรากฏ ปรากฏเพราะจิตเกิดขึ้นได้ยิน เสียงนั้นจึงปรากฏได้ แต่ว่าก่อนได้ที่จิตได้ยินจะเกิดขึ้น ต้องไม่ใช่ภวังคจิต ต้องมีจิตซึ่งเกิดขึ้นก่อน ๑ ขณะ อันนี้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด แล้วเวลาที่ได้ยินเกิดขึ้นดับไปแล้ว ก็จะมีจิตเกิดดับสืบต่อ ขอใช้ชื่อหน่อยหนึ่งนะคะ แต่ว่าบางท่านอาจจะคุ้นหูแล้ว คือ สัมปฏิจฉันนจิตเกิดสืบต่อ สันตีรนจิตเกิดสืบต่อโวฏฐัพพนจิตเกิดสืบต่อ แล้วจึงจะเป็นจิตที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เป็นโลภะมูลจิต หรือเป็นโทสะมูลจิต ไม่มีใครทำอะไรได้เลย รวดเร็วมี่สุดตามการสะสมในขณะนี้ ก็กำลังเป็นอย่างนี้อยู่
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะโดยละเอียดก็จะทำให้เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมะซึ่งเกิดดับสืบกัน โดยความเป็นลักษณะของสภาพธรรมะนั้นๆ ที่ต้องเป็นอย่างนั้น ที่ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้
เพราะฉะนั้น ก็จะคลายความไม่รู้ แล้วก็คลายความที่เคยยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตนเพียงขั้นฟัง แต่ว่าตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะจริงๆ ก็ยังคงไม่สามารถที่จะดับการยึดถือสภาพธรรมะว่าตัวตนได้
ผู้ฟัง ก็แสดงว่าจะต้องฟังต่อไปจนกว่าจะเข้าใจ
คุณอดิศักดิ์ เดี๋ยวผมเพิ่มเติมนิดหน่อย คุณจรัลถามว่าเสียงมีจริง แต่เสียงเป็นธรรมะ คุณจรัลไม่เข้าใจว่า เสียงเป็นธรรมะได้อย่างไร เรามาศึกษาธรรมะ มาศึกษาความจริง พระพุทธเจ้าท่านแสดงความจริง มีอะไรบ้าง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เสียงเป็นอะไรครับ เสียงเป็นรูป ใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้น เสียงจึงเป็นธรรมะ เป็นความจริงที่คุณจรัลว่า เสียงเป็นความจริง เสียงก็เป็นรูป เพราะฉะนั้นเสียงจึงเป็นธรรมะ ถ้าบอกว่าทำไมถึงเป็นธรรม ก็ไปโต้เถียงกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าเสียงเป็นธรรมะ รูปก็มีรูป นาม มีจิต เจตสิก รูป เสียงเป็นรูป เพราะฉะนั้น เสียงเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องสงสัย แต่ที่ท่านอาจารย์ท่านลงลึกไปว่าเสียง มี ปรากฏ สติเกิดระลึกรู้ที่เสียงไหม สภาพของเสียง มีลักษณะดัง ปรากฏได้ทางหูเท่านั้น เป็นธรรมะที่ปรากฏได้ทางหูเท่านั้น อย่างนี้คุณจรัลก็คิดว่า พยัญชนะเหล่านี้ก็คงจะได้ฟังมามากพอสมควร พอจะเข้าใจขึ้นไหมว่า เสียงเป็นธรรมะ
ผู้ฟัง คือชีวิตประจำวัน พอตื่นนอนขึ้นมา ทันทีที่รู้สึกตัวก็มีเสียงปรากฏ อย่างยกตัวอย่าง เช่น เสียงไก่บ้าง เสียงนกร้องบ้าง ทุกครั้งพอได้ยินมันก็เป็นเสียงนก เสียงไก่เสียงอะไรทันทีเลย ด้วยความรวดเร็วอย่างนี้
คุณอดิศักดิ์ ถ้าขณะที่เป็นเสียงไก่ เสียงนก ไม่ใช่ธรรมะแล้ว เป็นสมมุติ ถ้าเป็นเสียงไก่ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางหู รู้ได้ทางหู ไก่ไม่มี นกไม่มี เราได้ยินไม่มี คุณจรัลก็ไม่มี ชายไม่มี หญิงไม่มี สัตว์ไม่มี บุคคลไม่มี มีแต่ธรรมะ ต้องเป็นเสียงเท่านั้น ถ้าเป็นเสียงนก เสียงไก่ ก็เป็นสมมุติบัญญัติไป ตรงนี้ต้องเข้าใจ อ่านเรื่องบัญญัติกับเรื่องสมมุติในหนังสือ “ปรมัตถธรรมสังเขป” ของท่านอาจารย์มากๆ หน่อย ในนั้นจะเน้นเรื่องบัญญัติกับเรื่องปรมัตถธรรมมากเลย