วันหนึ่งต้องประจักษ์ได้ด้วยวิริยะ ฉันทะ การอบรม


    สุ. ถึงแม้เราจะกล่าวตามที่ได้ทรงแสดงไว้ แต่การรู้ความจริงต้องเป็นการที่มีลักษณะนั้นปรากฏกับสติสัมปชัญญะเท่านั้น เพราะอะไร เกิดแล้ว ดับแล้ว เร็วมาก และแม้แต่ขณะที่ปรากฏก็ไม่ใช่เพียงวาระเดียว จิตเกิดดับหลายวาระ ขณะใดที่ไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับก็จะไม่รู้เลยว่ากี่วาระเพราะว่าสืบต่อเร็วมาก

    ด้วยเหตุนี้การที่จะรู้ลักษณะของทิฏฐิจริงๆ ต้องด้วยสติสัมปชัญญะ และไม่ใช่แต่เฉพาะทิฏฐิอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมใดทั้งหมดที่ได้กล่าวถึงว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ขณะนั้นก็ต้องด้วยสติสัมปชัญญะ เช่นในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กล่าวตามๆ กันมาใช่ไหม รูปารมณ์ใช้คำภาษาบาลีด้วย เป็นรูปที่เป็นอารมณ์ของจิตเห็น ก็ขณะนี้ก็มีจิตเห็น แล้วก็มีรูปที่ปรากฏทางตา ความเข้าใจของเราน้อยแค่ไหน เพราะว่ายังไม่ได้ประจักษ์เลยว่าแม้ ขั้นฟังก็จะต้องมีความมั่นคงที่จะต้องรู้ว่าถ้ามีการเข้าใจจริงๆ ในธาตุที่ปรากฏ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ โดยที่ปรากฏ และดับไปอย่างรวดเร็ว จะมีความทรงจำเรื่องรูปร่างสัณฐานไหม จะมีความเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดไหม ก็ไม่มีเลย แต่ว่าเมื่อเกิดดับเร็วมากก็ไม่ปรากฏว่าตั้งแต่เช้ามาเห็นดับไปตอนไหนเลย เพราะว่าเห็นอยู่ตลอดเวลา แม้กระพริบตาก็ไม่ปรากฏว่าดับใช่ไหม

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมจริงๆ เกิดดับเร็วมาก ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ แม้ว่ามีความเข้าใจจากขั้นการฟังว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงๆ แล้วกำลังปรากฏด้วย และไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม แต่หลังจากเห็นแล้ว มีการคิด เราก็สามารถที่จะรู้ว่าค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตาม ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วขณะที่มีเห็น หลับตาแล้วไม่มีเลย ก็ค่อยๆ ก้าวไปถึงที่ว่าขณะที่ได้ยิน เห็นก็ไม่มี ขณะที่ได้กลิ่น เห็นก็ต้องไม่มี แต่นี่เป็นการที่ปัญญาของเราจะต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น ตามความเป็นจริง

    และเป็นผู้ที่ตรงว่าขณะนี้ที่ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา เราไม่รู้สิ่งนี้ได้ไหม แล้วก็ไปรู้อริยสัจจธรรม หรือว่าจะไปดับกิเลส หรือว่าไปละความเป็นตัวตนไม่ให้มีอีกเลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่รู้ ถ้ามีความไม่รู้สิ่งที่ปรากฏทั้งหมดก็ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง คือเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็ยังคงนึกถึงสิ่งนั้นอยู่ แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่ใช่ครั้งเดียวในพระไตรปิฎกซ้ำกี่ครั้ง จักขุวิญญาณ รูปารมณ์ตลอดเวลาทั้งหมดเลย เพื่อให้มีการระลึกได้ ให้เข้าใจว่าเราเข้าใจคำแปลของรูปารมณ์หรือว่าเราเข้าใจลักษณะของธาตุที่สามารถกำลังปรากฏในขณะนี้เท่านั้น ไม่ปรากฏในขณะที่ได้ยินหรือได้กลิ่นเลย

    ค่อยๆ อบรมความรู้ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ด้วยวิริยะ ด้วยฉันทะที่จะรู้ว่าเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งต้องประจักษ์ได้ ถ้าเป็นผู้ที่มั่นคง และจริงใจต่อการที่จะเข้าใจ และศึกษาธรรม แต่ถ้าไม่จริงใจ มีเราทำอย่างอื่นแน่นอน ไม่มีการที่จะรู้ว่าไม่รู้อะไรทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และไม่ว่าเราจะได้ยิน ได้ฟัง เรื่องของสิ่งที่ปรากฏ และจิตเห็นมากมายอีกต่อไปโดยปัจจัย โดยอะไรต่างๆ ก็เพื่อละคลายความเป็นเรา ให้รู้ว่าแท้ที่จริงมีเพียงชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป และทุกขณะก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรเหลือเลย

    เพราะฉะนั้น ก็มี ๒ อย่าง ความเป็นไปของจิตที่จะต้องเห็น ต้องได้ยิน และต่อจากนั้นก็จะเป็นความไม่รู้หรือความรู้ ส่วนอื่นไม่กล่าวถึง เพราะว่าผลก็คือว่าไม่ว่าจะเป็นกุศล อกุศลจะต้องทำให้เกิดความเป็นไปคือ ต้องเห็น ต้องได้ยินเท่านั้นเอง


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 192


    หมายเลข 10388
    3 ก.ย. 2567