ธรรมะจากผู้ป่วย
ผู้ที่สะสมความเข้าใจถูกในธรรมะ และมีความมั่นคง แม้จะป่วยหนักก็ยังสามารถแสดงความซาบซึ้ง และความเข้าใจอย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงควรเห็นประโยชน์ที่เกิดมาแล้ว จะได้มีพระธรรมเป็นที่พึ่งให้ศึกษา และสะสมทรัพย์คือปัญญา ซึ่งสามารถละกิเลสอกุศลได้จริงๆ
ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณอรรณพเล่าเรื่องจริงของท่านผู้ฟังท่านหนึ่งที่ฟังธรรมะมานาน ขณะนี้เป็นโรคที่เพิ่งเป็นที่รู้จัก เพราะเป็นกันไม่มาก คือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ขอให้เล่าเรื่องที่สนทนากับท่านผู้นั้นด้วย
อ.อรรณพ เรียกเรื่องนี้ว่า ธรรมะจากผู้ป่วยก็ได้ เพราะท่านได้ประโยชน์จากการสะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในพระธรรม แม้ยามป่วยที่ร่างกายอ่อนล้ามากแล้ว แต่ผลของการสะสมความเข้าใจมาก็แสดงออกได้ คณะของท่านอาจารย์ได้ไปเยี่ยม ท่านผู้นั้นยินดีปลาบปลื้มมาก เพราะท่านเคารพในพระธรรม และท่านอาจารย์ ท่านคุ้นเคยในการฟังพระธรรม ทั้งๆ ที่ไม่สามารถพูดหรือเขียน เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงทำให้กำลังถดถอยไปเรื่อยๆ ตั้งแต่พูดไม่ชัด เดินไม่เป็นปกติ จนกระทั่งพูดเขียนไม่ได้ หายใจก็ไม่สะดวกต้องเจาะคอ กลืนอาหารไม่ได้ ต้องให้ทางถุงอาหาร เมื่อท่านอาจารย์ถามว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเมื่อไร ลองเดาดูว่า ท่านจะตอบว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ ผู้ไม่ป่วยลองตอบ แต่ผู้ป่วยถึงระดับนั้น แม้แต่จะสนทนาก็ต้องใช้นิ้วชี้ไปที่ตัวอักษรแต่ละตัว แต่ธรรมะที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมสืบต่ออยู่ในจิตแม้ในขณะนั้น เวลาที่สนทนากัน และเล่าเรื่องธรรมะ ท่านสนใจมาก สังเกตจากตา ขณะนั้นท่านฟังแล้วคิดไตร่ตรองด้วย คำตอบที่ได้ฟังแล้ว หลายคนคงคาดไม่ถึงว่า คำตอบคืออะไร คนที่ไม่ได้ไปด้วยไม่ได้ยิน แต่ความจริงไม่ได้พูด ท่านใช้นี้
อ.อรรณพ ภรรยาที่ดูแลก็ฟัง และเข้าใจธรรมะ และมีศรัทธามาก ท่านดูแลสามีอย่างดีจริงๆ แต่ก่อนสื่อสารด้วยการเขียน แต่ตอนนี้เขียนไม่ได้ ภรรยาหากระดาษที่มีตัวอักษรเป็นพยัญชนะ และสระใหญ่ๆ ให้ชี้ ท่านก็ชี้ไปที่ ท สระอุ ก คิดว่าท่านคงทุกข์ แต่ทำไมไม่มี ข์ คิดเองว่าท่านคงไม่สะดวกที่จะเขียนเช่นนั้น แต่เมื่อรวมความแล้ว ท่านตอบว่า ทุกเวลาที่ระลึกได้ ทุกคนก็ปีติโสมนัสกัน ซาบซึ้งที่ว่า สะสมความเข้าใจมา แม้จะป่วยก็สามารถสื่อสารด้วยความเข้าใจว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทุกเวลาที่ระลึกได้ นั่นคือมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงๆ เป็นปัญญา
ท่านอาจารย์ คิดดูว่า ไม่ต้องเวลาในการตอบเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจ และเข้าใจ เมื่อถามว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเมื่อไร ทุกเวลาที่ระลึกได้ ท่านตอบได้ทันที ท่านผู้นี้ คือ น.ต. จรัญ ปานุราช สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ภรรยาคือคุณสายฝน ทั้ง ๒ ท่านเห็นประโยชน์ของการเกิดมาแล้วมีโอกาสได้สิ่งที่มีค่ามากที่สุด ยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ เป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐ เพราะใครก็ลักไปไม่ได้ และทรัพย์นี้ก็สามารถติดตามไป แม้ในโลกนี้ก็ติดตามไปถึงขณะที่กำลังป่วยไข้ได้ จริงๆ แล้วก็คือไม่มีอะไรประเสริฐเท่าปัญญา ต้องไม่ลืมว่า ปัญญารู้แล้วละ อย่างอื่นละกิเลสไม่ได้ นอกจากปัญญา ขณะใดที่สงสัย ขณะใดที่อยาก ขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นปัญญาขณะใด ขณะนั้นละความไม่รู้ ละความติดข้อง จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมโดยไม่มีความเข้าใจถูกไม่ได้เลย ขณะใดที่ไม่ลืมว่า ปัญญารู้แล้วละ ปัญญาเท่านั้นที่ละ ขณะใดที่ไม่ละ ขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา
พระธรรมก็เตือนเราว่า เป็นธรรมเวไนย เพราะยุคนี้ สมัยนี้ พุทธเวไนยก็ไม่มี เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกเวไนย ผู้ได้ความเข้าใจจากสาวกเหมือนในครั้งอดีตก็ไม่มี แต่จะมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ใครก็ตามที่ไตร่ตรองพระธรรมด้วยความละเอียด แม้ไม่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้พบสาวกอย่างในครั้งอดีต แต่ธรรมะนั้นสามารถทำให้เข้าใจ และละคลายกิเลสได้