ไม่ใส่ใจในนิมิต


        เพราะมีปรมัตถธรรม คือสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ละเอียด และเกิดดับรวดเร็วมาก จึงเป็นนิมิตแล้วจึงมีบัญญัติ ซึ่งเป็นอาการของนิมิต และกว่าจะถึงการไม่ใส่ใจในนิมิตได้จริงๆ ก็ต้องด้วยปัญญาที่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงโดยลำดับ


        ท่านอาจารย์ ในพระไตรปิฎก รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต ขันธ์ทั้ง ๕ ไม่มีอะไรเหลือเวลานี้ จะรู้ขณะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้ไหม แต่สามารถรู้ได้เมื่อเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นนิมิต แสดงความรวดเร็วมากของจิต

        อ.ธิดารัตน์ นิมิตในที่นี้ยังไม่ได้เป็นเรื่อง เป็นบัญญัติ แต่เป็นนิมิตของสภาพธรรมะ

        ท่านอาจารย์ (หยิบหลอด) นี่อะไรคะ

        อ.ธิดารัตน์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว เป็นหลอด

        ท่านอาจารย์ นิมิตแล้ว ถ้าแยกออกไปเป็นหนึ่งละเอียดจนมองไม่เห็น แค่แยกรูปที่แยกกันไม่ได้ ๘ รูป ปรากฏไหมว่าเป็นอย่างนี้

        อ.ธิดารัตน์ ไม่ปรากฏ เพราะสืบต่อกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

        ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรจะพ้นจากนิมิตได้ไหม

        อ.ธิดารัตน์ ไม่พ้นจากนิมิต

        ท่านอาจารย์ ที่เป็นนิมิตได้เพราะสภาพธรรมะที่ละเอียดยิ่งรวมกัน เพราะไม่สามารถรู้ที่ละเอียดยิ่ง ๑ กลาป แต่มารวมกันอย่างนี้แล้วเป็นอย่างนี้

        อ.ธิดารัตน์ แล้วที่ใช้คำว่า นิมิตอนุพยัญชนะ

        ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีนิมิตปรากฏเลย จะเข้าใจไหมว่าต่างกันหลากหลาย นิมิตมาก่อนหรือเปล่า แล้วอนุพยัญชนะก็เป็นความละเอียดของนิมิตนั้นๆ

        อ.ธิดารัตน์ นิมิตที่เป็นบัญญัติละคะ

        ท่านอาจารย์ นิมิตที่เป็นบัญญัติคืออะไร

        อ.ธิดารัตน์ ไม่ใช่สภาพธรรมะที่มีจริงๆ

        ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีนิมิต มีบัญญัติไหม

        อ.ธิดารัตน์ ก็มีไม่ได้

        ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปรมัตถ์ มีนิมิตได้ไหม มีปรมัตถ์ก่อนเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วปรากฏเป็นนิมิต และรู้ได้ด้วยประการนั้นๆ คือ ปัญญัติ เพราะฉะนั้น ปัญญัติ คือ อาการของนิมิตที่ทำให้รู้ได้ รู้นี้คือจิต

        อ.ธิดารัตน์ ไม่ใส่ใจในนิมิตอนุพยัญชนะอย่างไร

        ท่านอาจารย์ ไม่ใส่ใจคือเพียงปรากฏให้เห็นได้ การเริ่มเห็นถูกต้องทั้งหมดไม่ใช่ไปเห็นนิมิต แต่เริ่มเข้าใจว่า สิ่งนั้นมีเป็นลักษณะของสภาพธรรมะนั้นๆ แล้วลองคิดดูว่า เวลานี้ใส่ใจในนิมิตใช่ไหม จนกว่าจะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เริ่มคลายความใส่ใจจนเพิกถอนนิมิตออกไปได้ รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น แต่โดยความเป็นนิมิตของปรมัตถ์ แต่ไม่ไปยึดถือว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นอะไรอีกแล้ว เพราะเข้าใจถูกต้องว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ อย่างคุณอรวรรณ ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาให้จำได้ จะว่าเป็นคุณอรวรรณไหม แต่ความจริงไม่มีคุณอรวรรณ มีแข็ง มีรูปธรรม มีนามธรรม แต่เวลาเห็น เห็นแต่รูปธรรม ไม่เห็นนามธรรม

        เวลานี้ทุกคนฟังเข้าใจว่า สภาพธรรมะเกิดดับเร็วสุดจะประมาณได้ สิ่งที่ปรากฏทางตาความจริงต้องเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง เปลี่ยนไม่ได้เลย แข็งไม่ได้ปรากฏให้เห็น รสไม่ได้ปรากฏให้เห็น แต่ที่กำลังปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เป็นเพียงธาตุหรือธรรมะอย่างหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏให้เห็นได้

        นี่แสดงว่ามีคนไหม มีโต๊ะ เก้าอี้ไหม แล้วเมื่อไรจะถึงวันนั้น ยังไม่ต้องไปคิดถึงนิมิตอะไรทั้งหมด ที่จะไปรู้เกินกว่านั้นว่าต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น เพียงแต่เมื่อไรจะละการยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กว่าสิ่งนั้นจะปรากฏว่าดับ คนอย่างนี้ไม่มีทางดับ ยังติดแน่นในนิมิตอนุพยัญชนะ ยังติดแน่นเป็นคนนั้นคนนี้อยู่เลย แล้วจะดับได้อย่างไร กว่าจะคลายว่าไม่มี ไม่มีคือไม่มี บอกว่าไม่มีคนก็ต้องไม่มีคน บอกว่าเป็นธรรมะก็ต้องเป็นธรรมะ คลายเมื่อไร โดยอะไร คิดเองหรือ กว่าสติสัมปชัญญะจะเกิด และเริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าละคลายความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว สภาพธรรมะจากนามรูปปริจเฉทญาณ คือ ลักษณะนั้นไม่ใช่คนใช่ไหม ถึงได้เป็นรูป แล้วไม่ใช่เราใช่ไหม แต่เป็นธาตุเห็นใช่ไหม หรือเป็นธาตุได้ยิน แล้วเป็นเสียงใช่ไหม แต่ละหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น โลกทั้งโลกหายไปหมด เพราะมีแต่เพียงธาตุรู้กับสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นทางหู จมูก ลิ้น กาย มืดแค่ไหน มโนทวารเกิดมากไหม กว่าจะเป็นคนนั่งอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น ปรากฏจริงๆ นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของธาตุรู้ และไม่สภาพที่ไม่ใช่ธาตุรู้ และมีลักษณะเฉพาะอย่าง

        เพราะฉะนั้น ในขณะที่เสียงปรากฏในความมืดสนิท ไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น หายวับไปเลย มีแต่ธาตุรู้กับเสียง ถูกไหม จริงหรือเปล่าว่า ขณะนั้นคือความจริงแต่ละทางๆ แม้ขณะนั้นก็นิมิต คิดดูก็แล้วกัน สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ มโนทวาราวัชชนะอยู่ไหน ไม่มีทางรู้เลย

        เพราะฉะนั้น พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้จริงแน่นอน คนไม่รู้ก็ไม่รู้ รู้แล้วจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นอย่างที่ทรงแสดงไว้ทุกคำ กว่าจะเข้าใจความหมายของนิมิตอนุพยัญชนะทางตา และพูดซ้ำๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ วันนี้ได้ยินกี่ครั้ง แต่ยังไม่เป็นอย่างนั้น

        เพราะฉะนั้น คิดดูก็ได้ว่า เมื่อไรจะเป็น ต้องเกิน ๔ อสงไขยแสนกัปใช่ไหมที่เป็นอย่างนี้มาแล้ว แล้วจะไม่ให้เป็นอย่างนี้ คิดดู และไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง คำนี้หมายความว่าอย่างไร เป็นพระปัญญาระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ขณะนั้นก็ไม่น้อมพระทัย แต่เพราะสะสมที่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกอบด้วยพระญาณมากมาย ก็รู้ว่า สัตว์โลกที่ได้สะสมปัญญามาแล้ว ความเห็นถูกมาแล้ว สามารถเข้าใจได้ และการบำเพ็ญมาก็เพื่ออนุเคราะห์คนที่ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง ถึงจะมีปัญญาอย่างท่านพระสารีบุตรก็ยังไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง แล้วเราเป็นใคร ฟังต่อไปเท่านั้นเอง และความเข้าใจก็เป็นที่พึ่งจริงๆ ท่านเหล่านั้นก่อนจะเป็นวิสาขามิคารมารดา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเคยเป็นใครมาแล้วในชาติก่อนๆ และถ้าท่านไม่เคยฟังอย่างนี้ ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้มาเรื่อยๆ จะถึงวันนั้นไหม แต่เมื่อถึงได้ก็แสดงว่า ท่านเคยสะสมมาอย่างนี้ ไม่ต่างกันเลย จากปุถุชน ถึงกัลยาณปุถุชน ถึงพระอริยบุคคลที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม

        อ.อรรณพ ปัญญาที่ไม่ใส่ใจในนิมิต ก็ต้องมีหลายระดับ

        ท่านอาจารย์ แน่นอน ก่อนถึงนามรูปปริจเฉทญาณ และเมื่อถึงแล้วก็กว่าจะถึงอุทยัพยญาณ กว่าจะถึงวิปัสสนาญาณขั้นต่อไป แสดงถึงความเหนียวแน่น หนาแน่นของกิเลสที่สะสมมามากมายมหาศาล ประมาทไม่ได้เลย มิฉะนั้นก็หันหลังให้พระสัทธรรมโดยไม่รู้ตัว


    หมายเลข 10414
    30 ธ.ค. 2566