ที่อันสมควร
ที่ใดที่มีพุทธบริษัทที่มีความเข้าใจถูกตามพระธรรมอยู่ ที่นั้นก็เป็นที่อันสมควร ซึ่งเป็นเพราะบุญที่ทำไว้แล้ว จึงได้อยู่ในที่อันสมควร ซึ่งจะได้คบสัตบุรุษคือ มีโอกาสฟังพระธรรม และตั้งตนไว้ชอบต่อไป
อ.อรรณพ บริษัท ๔ ย่อมปรากฏในที่ใด การอยู่ในประเทศอันสมควรเป็นปานนั้น
ท่านอาจารย์ บริษัทไหน พุทธบริษัทใช่ไหม ไม่ใช่บริษัทธรรมดา ก็ต้องหมายความถึงผู้ที่ได้ฟัง และเข้าใจพระธรรม
อ.อรรณพ ขึ้นกับความเข้าใจ ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ แต่ทำไมพระองค์จึงทรงแสดงประเทศอันสมควร ทั้งๆ ที่สำคัญที่ความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เข้าใจที่ไหน พระวิหารเชตวันยุคนี้ แคว้นกุรุยุคนี้เป็นอย่างไรคะ เป็นสถานที่อันสมควรหรือเปล่า ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมะ เหมือนที่คุณอรรณพตั้งต้นประโยคแรก พุทธบริษัทอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็เป็นที่สมควร พุทธบริษัทไม่ได้หมายความถึงคนที่ไม่เข้าใจธรรมะ ณ บัดนี้คนไปที่แคว้นกุรุ ก็จะเห็นเด็กวิ่งเล่นแถวนั้น เป็นที่สมควรไหม เมื่อไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ที่ใดก็ตามที่มีพุทธบริษัท คือ ผู้เข้าใจธรรมะ ที่นั่นก็เป็นที่สมควร แม้พระวิหารเชตวันก็มีคนดูแลมากมาย พระวิหารเชตวันเป็นที่สมควรแก่เขาหรือเปล่า แต่ขณะใดมีผู้เข้าใจธรรมะ ตรงนั้นเป็นสถานที่ที่สมควรต่อการระลึกถึงพระธรรม เราคิดถึงที่บ้าน ถ้าเป็นบนสวรรค์ได้ฟังธรรมะ ต่างกันตรงไหน ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ขณะใดที่ได้ยินได้ฟังธรรมะ กับขณะที่อยู่ในโลกนี้ ตรงไหนก็ตามแต่ สมควรเท่ากันไหม กับที่บนสวรรค์แม้ดาวดึงส์ ก็มีสวนนันทวัน ก็ไปเพลิดเพลินที่สวนนันทวัน สวรรค์นั้นสมควรไหมขณะที่กำลังเพลิดเพลิน
อ.ธิดารัตน์ ถ้าขณะที่กำลังเพลิดเพลินก็ไม่สมควร
ท่านอาจารย์ จะอยู่ตรงไหน เราคิดว่าเราอยู่ในโลกนี้ แต่ความจริงจิตจะเกิดที่ไหนก็ได้ตามเหตุตามปัจจัย เราลืมเรื่องนี้สนิท เราคิดว่าเราอยู่ในโลกนี้ คนโน้นอยู่บนสวรรค์ แต่จิตเกิดตรงไหน ที่ไหน จิตนั้นทำกิจรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น แล้วก็ดับไป การจะรู้จักจิตจริงๆ ขณะนั้นที่เข้าใจลักษณะของจิต ไม่มีสถานที่ เพราะอะไร เพราะเราก็ไม่มี แล้วสถานที่จะมีได้อย่างไร เราก็คิดถึงคำ แต่ตามความเป็นจริงก็คือรู้ว่า ความไม่รู้มีมาก ปัญญาก็รู้ว่าที่ใดเป็นที่สามารถได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจธรรมะ ก็ไปสู่ที่นั่นใช่ไหม ไม่ไปสู่ที่อื่นที่ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมะ ได้เข้าใจธรรมะ
อ.คำปั่น สมควรในที่นี่ก็คือ สมควรที่ปัญญา และกุศลธรรมทั้งหลายจะเจริญขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น บนรถไฟเป็นสถานที่ที่สมควรไหม
อ.คำปั่น ถ้ามีการสนทนาธรรม
ท่านอาจารย์ บางคนจะบอกว่าไม่ได้ ต้องเป็นที่อื่น จะมาสนทนาธรรมอะไรบนรถไฟ บนเครื่องบิน ในเรือ ได้หมดทุกแห่ง ไม่จำกัดสถานที่ แต่ถ้าคิดว่าไม่ได้ นั่นเข้าใจผิด ควรเพราะอะไร เพราะบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้อยู่ตรงนั้น มีเสียงนั้น อย่างบางคนเปิดวิทยุตรงไหนก็ได้ ได้ยินทันที เพราะบุญที่ได้สะสมไว้แต่ปางก่อน ตรงไหนก็คือตรงนั้น ที่ได้ฟังไม่ใช่เพราะอกุศลแต่ปางก่อนเลย เกิดมาได้ฟังเพราะบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน
เพราะฉะนั้น จะให้คนที่ไม่ได้สะสมบุญที่เคยฟัง และเข้าใจถูกต้องจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังก็ยาก ที่นี่เป็นที่สมควรไหมคะ
อ.อรรณพ ถ้ามานั่งเฉยๆ อยู่เฉยๆ ก็ไม่สมควร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่า ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นที่ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเมื่อไร ตรงนั้นก็เป็นที่ที่สมควร ไม่พอต่อการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นแล้วต้องตั้งจิตไว้ชอบ เพราะฟังด้วยกันอยากจะปฏิบัติเสียแล้ว อยากจะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะจนกระทั่งฟังอย่างไรถึงสามารถเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น ไม่ได้เข้าใจเลยว่า ไม่มีเรา และไม่มีวิธีการฟังอย่างไร แต่ขณะที่ฟังนี่เองได้ยินคำที่ทำให้สามารถค่อยๆ เข้าใจขึ้น เช่น ขณะนี้เห็นมี เห็นเกิดแล้ว ต้องมั่นคงว่าไม่มีใครทำให้เห็นเกิดได้ เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็หมดไป เพราะเหตุว่าขณะได้ยินไม่ใช่ขณะเห็น จิตจะเกิดขึ้น ๒ ขณะพร้อมกันไม่ได้เลย จิตเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ ถ้าจิตนั้นยังไม่ดับไป จิตขณะต่อไปเกิดไม่ได้เลย ทันทีที่จิตนั้นดับหมดสิ้นไปจึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ เห็นขณะนี้จึงไม่ใช่ได้ยิน ก็หมายความว่าแน่นอนที่สุดสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้วดับไป ตั้งจิตไว้ชอบที่จะเข้าใจขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรา แต่อาศัยการฟัง ไตร่ตรอง พิจารณา เพราะฉะนั้น มงคลต่อไปก็คือพาหุสัจจะ ถ้าไม่ได้ฟังให้ได้คิด ได้ไตร่ตรอง คิดเองไม่ได้ กว่าปัญญาจะเจริญก็ต้องอาศัยความเข้าใจถูก ความเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อยในแต่ละคำที่ได้ฟังด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่า ฟังเดี๋ยวนี้ จะประจักษ์การเกิดดับเดี๋ยวนี้ หาวิธีละความเป็นตัวตนเดี๋ยวนี้ นั่นผิดทันที ไม่ตั้งจิตไว้ชอบแน่ เพราะคิดว่ามีวิธีอื่น นอกจากค่อยๆ เข้าใจธรรมะที่กำลังปรากฏ