เพราะไม่รู้และเพราะรู้
เพราะไม่รู้ จึงอยู่มา ในหล้าโลก
เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศรก ในสงสาร
เพราะไม่รู้จึง เป็นเรา เขลามานาน
เพราะไม่รู้ จึงคบพาล เผาผลาญตน
เพราะรู้คุณ ของพระธรรม จึงร่ำเรียน
เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียร เพิ่มกุศล
เพราะรู้ชัด จึงไม่ใช่ สัตว์บุคคล
เพราะรู้ละ ตัวตน จึงพ้นภัย
ผู้ฟัง ตอนไปอินเดีย ที่พระวิหารเชตวัน อาจารย์อรรณพได้แต่บทกลอน ก็ให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายให้เข้าใจเพิ่มขึ้น
ท่านอาจารย์ ก็ต้องทีละบรรทัด
ผู้ฟัง เพราะไม่รู้ จึงอยู่มา ในหล้าโลก
ท่านอาจารย์ ก็คือเกิดแล้วทุกชาติไป แล้วก็อยู่ไปทุกชาติด้วยความไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงเกิดหรืออยู่มาในหล้าโลก ก็เดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างเป็นความจริงที่เราต้องคิดว่า ที่เราเกิดแล้วอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ เพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วใครจะไม่เกิดได้ไหม เกิดแล้วจะไม่อยู่ในโลกนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ แต่เมื่อไม่รู้ ก็ไม่รู้ว่า เป็นธรรมะ คิดว่าเป็นเรา ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่รู้ว่า เพราะมีเหตุทำให้ต้องเกิดขึ้น และต้องอยู่ในโลกนี้ด้วย ออกจากโลกนี้ไปโลกอื่นได้ไหม ถึงอย่างไรๆ ก็เป็นคนนี้ จนกว่าจะถึงเวลาที่กรรมทำให้สิ้นสิ้นความเป็นบุคคลนี้ แล้วก็เป็นชั่วคราวจริงๆ ถ้าอ่านชาดกเคยเป็นแล้วทั้งนั้นในพระชาติต่างๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพระเทวทัตก็เคยเป็นบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพระมหากัสสปะก็เคยเป็นพระบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แต่ละชาติไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าชาตินั้นจะเต็มไปด้วยความสุขหรือความทุกข์ใดๆ ก็ตาม เพียงชั่วคราว พอจบสิ้นความเป็นบุคคลนั้น สิ้นชาตินั้นก็ไม่มีทางเป็นบุคคลนั้นได้อีกเลย
เพราะฉะนั้น แม้ขณะนี้แต่ละ ๑ ขณะที่ผ่านไปก็ไม่กลับมาอีก กรรมใดที่ทำแล้ว กรรมนั้นไม่ได้สูญหายไปไหน แต่เป็นปัจจัยสะสมอยู่ในจิตให้ผลคือการเกิดขึ้น แล้วต้องรู้ไปในโลก เพราะฉะนั้น เพราะไม่รู้ จึงอยู่มาในหล้าโลก
ผู้ฟัง เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศก ในสงสาร
ท่านอาจารย์ ใครที่ไม่เศร้าโศก ผู้รู้ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับกิเลสหมดแล้วจึงไม่เศร้าโศก พระอนาคามีก็ดับกิเลส คือ ความติดข้องในในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ จึงไม่เศร้าโศก แต่ตราบใดที่ยังยินดีในสิ่งที่ปรากฏทางตาเพราะไม่รู้ ความจริงไม่มีใคร แต่มีสิ่งที่กระทบตาได้ จึงปรากฏให้เห็นว่า มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ในขณะเห็น แต่เพราะไม่รู้ก็เป็นคน และสิ่งต่างๆ เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ชีวิตทั้งชีวิตก็มีความรู้สึก เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเฉยๆ เท่านี้เอง สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก เมื่อวานนี้หลายคนอาจจะมีความสุขมาก และหลายคนอาจจะทุกข์โศก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ขณะนั้น จึงเป็นชั่วขณะที่ต้องเป็นไปโดยบังคับบัญชาไม่ได้ จะไม่ให้สุขก็ไม่ได้ จะไม่ให้ทุกข์ก็ไม่ได้ แต่ทั้งหมดไม่ยั่งยืน เพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไป เหลือเพียงแค่ความจำในสิ่งที่ไม่มี เพราะไม่รู้
เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเป็นอย่างนี้จนกว่าปัญญาจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงพระอนาคามีบุคคลก็ไม่เศร้าโศก เป็นพระอรหันต์ก็หมดกิเลสทั้งปวงไม่หวั่นไหวเลย แต่ถ้าปัญญายังไม่ถึงความรู้จริงระดับนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนี้ รู้ยากไหมคะ เดี๋ยวนี้เศร้าโศกหรือเปล่า สุขหรือเปล่า เฉยๆ ก็ไม่รู้ ไม่รู้หมดเลย ทั้งหมดเพราะไม่รู้
ผู้ฟัง เพราะไม่รู้จึง เป็นเรา เขลามานาน
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ใครคะ เป็นคุณวิชัย แต่ความจริงสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คุณวิชัย ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ความไม่รู้กับความรู้ก็ต่างกันมาก เพราะไม่รู้จึงยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขลามานานเท่าไร ไม่รู้มานานเท่าไร เพราะฉะนั้น จะให้รู้จริงๆ จนละความไม่รู้จึงไม่ใช่วันสองวัน เปรียบเทียบกับการสะสมความไม่รู้ที่ผ่านมาแล้วนานแสนนาน ต้องอาศัยพระธรรมแต่ละคำ ฟังแล้วพิจารณา แล้วไตร่ตรอง แล้วค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริง จะรู้ได้ว่า แม้คำจริงอย่างนี้ ไม่มีใครค้านได้เลย แต่ก็ยากแสนยากที่จะคล้อยตาม และรู้ว่า ขณะนี้ไม่มีใครเลย ทั้งหมดเป็นธรรมะซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป แต่อาการเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่ปรากฏ ปรากฏแต่การสืบต่อซึ่งเป็นนิมิต ทำให้เป็นปัญญัติ รู้ได้โดยอาการของนิมิตนั้นๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตามีรูปร่างสัณฐานอย่างนี้ นิมิตอย่างนี้ เป็นคนเป็นสัตว์ เพราะไม่รู้ความจริงก็ยึดมั่น แม้ได้ฟังว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ชอบสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นไม่พอ สิ่งที่เห็นเป็นคนนั้น เพิ่มความพอใจในสิ่งที่ปรากฏ และยังจำได้ว่า เขาเป็นใคร ถ้าคุ้นเคยกันมากก็อาจจะจำได้จนกระทั่งเคยสนุกสนาน เคยไปเที่ยว เคยรับประทานอาหาร เคยสนทนากัน แต่ตามความเป็นจริงไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากจำในสิ่งที่ไม่มี และยังจำว่ายังมีอยู่ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จริงๆ อย่างนี้ ฟังแค่นี้ไม่สามารถละการยึดถือได้ ต้องฟังอีกแล้วค่อยๆ คล้อยตามไปจนค่อยๆ ละคลายความติดข้อง รู้ความจริงเพิ่มขึ้น สภาพธรรมะจึงจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ เพราะเป็นจริง เห็นเกิดจริงๆ เห็นดับจริงๆ เพราะฉะนั้น เมื่อสิ่งนั้นมีจริง ปัญญาเท่านั้นที่สามารถรู้ได้ ต่อเมื่อคลายความติดข้อง และความไม่รู้ที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
ผู้ฟัง เพราะไม่รู้ จึงคบพาล เผาผลาญตน
ท่านอาจารย์ คนพาลไม่ใช่บัณฑิต ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ขณะที่มีกิเลสเป็นบัณฑิตหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เป็นบัณฑิต เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นพาล
ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่า เป็นพาลแล้ว คบพาลแล้ว จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมะที่ควรละ ไม่ควรคบต่อไป แต่ต้องมีปัญญาระดับที่จะไม่คบอีกต่อไป ขั้นแรกคือไม่คบกับความเห็นผิดว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยากไหมคะที่จะไม่คบ เพราะเข้าใจถูกจึงไม่คบ เพราะรู้ความจริงว่า ไม่มีใครเลย นอกจากสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป
ทุกคำเป็นคำจริง และไม่เปลี่ยนแปลง แต่กว่าจะเข้าใจอย่างนี้ได้จริงๆ ต้องค่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ แล้วไม่ลืม ฟังแล้วก็ฟังอีกๆ เพื่อละความติดข้อง ไม่ใช่ว่าแล้วอย่างไรจึงจะรู้อย่างนั้น
มีท่านผู้หนึ่งเขียนข้อความส่งมาให้ เป็นเรื่องที่ได้ฟังมา เหมือนรู้ว่า ทุกอย่างชั่วคราว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สุดท้ายก็ถามว่า แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ความจริงนี้ได้ ก็จบไปเลย ที่พูดมาทั้งหมดรู้หรือเปล่า หรือจำ หรือเพียงฟังเผินแล้วเข้าใจคำ แต่ไม่เข้าใจอรรถ ไม่เข้าใจสภาพธรรมะจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ยาก ไม่ใช่เพียงฟังเผิน จำ คิด แต่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ จนกว่าจะเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ ได้
ผู้ฟัง อันนี้เป็นเรื่องไม่รู้ ต่อไปเป็นเรื่องรู้ เพราะรู้คุณ ของพระธรรม จึงร่ำเรียน
ท่านอาจารย์ ซาบซึ้งมากเลย เพราะรู้คุณ ถ้าไม่รู้ว่ามีประโยชน์ ไม่ศึกษาไม่ฟังแน่ แต่รู้คุณว่า แต่ละคำที่เป็นพระพุทธพจน์เป็นปัญญาทั้งหมด ธรรมะมีจริง และปัญญาสามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้ ทุกคำจริง สภาพธรรมะเกิดก็จริง สภาพธรรมะดับก็จริง แต่ละคำทั้งหมดมาจากการทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลกโดยไม่เลือกหน้าเลย ไม่ว่าในกาลที่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน หรือแม้ปรินิพพานแล้วก็ไม่มีใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะพระธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วเป็นศาสดา
เพราะฉะนั้น เพราะรู้คำของพระธรรมที่ยังมีให้ได้ยินได้ฟัง ได้ศึกษา ทุกคนจึงได้ฟังต่อไป เรียนต่อไป ค่อยๆ เข้าใจต่อไป
ผู้ฟัง เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียร เพิ่มกุศล
ท่านอาจารย์ อันนี้พิสูจน์แล้ว ฟังธรรมะเผินไม่ได้เลย เหมือนเข้าใจมาก ถามตอบได้ อภิธัมมัตถสังคหะ จิตมีเท่าไร เจตสิกมีเท่าไร แต่ชีวิตประจำวันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เข้าใจธรรมะแค่ไหน ถ้ายังร้ายเหมือนเดิม แล้วประโยชน์ที่ฟังพระธรรมมีบ้างไหม แต่ถ้าเคยร้าย พอระลึกถึงธรรมะ ขณะนั้นละแม้แต่คำร้ายๆ ที่จะพูด ก็สามารถรู้ได้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะสะสมอีกต่อไป นิสัยเดิมก็เป็นกิเลสมากมาย อัธยาศัยมากมาย แล้วอะไรจะเปลี่ยนจากการสะสมกิเลสมาเรื่อยๆ ทุกวัน เวลาไม่รู้ก็กำลังสะสมความไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงติดข้อง ขณะนั้นก็สะสมทั้งความไม่รู้ และติดข้อง
เพราะฉะนั้น ด้วยความรักตน จะเห็นได้ว่า ใครก็ตามที่กล่าวว่า ทำความดีเพื่ออย่างนั้นอย่างนี้ก็ตามแต่ แต่ตราบใดที่ยังมีตน หรือมีเรา ทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่า เพื่อตน ถ้ายังไม่เข้าใจว่า ธรรมะเป็นเรื่องรู้แล้วละ บางคนก็ทำความดีเพื่อตนจะได้รับผลของความดีนั้น เช่น มีโลภะ มีความติดข้องแน่นอน ชีวิตวันหนึ่งๆ แต่เช้ามาแสวงหาเพื่อใคร เพื่อตน ได้มาแล้วใครใช้ ใครบริโภค หรือเอาไปให้คนอื่น อุตส่าห์แสวงหามามากมายด้วยความติดข้อง ด้วยความต้องการ แล้วใครใช้สอยบริโภค ก็ตนนั่นแหละ เพื่อตัวเองใช่ไหม ทุกอย่างที่ซื้อมาใช้เอง ทั้งหมดเพื่อตัวเอง
เพราะฉะนั้น มีความติดข้องจนต้องแสวงหา หรือไม่ว่าการติดข้องจะมากน้อยแค่ไหน ชีวิตทุกขณะแสวงหาอยู่แล้ว โดยไม่รู้ความจริงว่า กำลังแสวงหา แล้วแต่สิ่งที่แสวงหาจะเป็นคุณเป็นโทษ หรือเป็นประโยชน์แค่ไหน แต่เพื่อตน เมื่อใช้สอยบริโภคแล้ว เก็บไว้ไหม
ผู้ฟัง เก็บไว้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ให้ใครไปหมดเลย ไม่ได้ใช้หมดเลย แม้หามาได้แล้ว มีแล้ว ใช้แล้ว ก็ยังเก็บไว้เพื่อใคร
ผู้ฟัง เพื่อตน
ท่านอาจารย์ ทุกคนมีสมบัติแน่ๆ ทั้งหมดเก็บไว้อีกเพื่อตน แล้วประการสุดท้ายคือสละสิ่งที่มี แต่ก็เพื่อตน เพราะฉะนั้น จะพ้นไปจากความไม่รู้ได้อย่างไร ในเมื่อตราบใดที่มีความเป็นเราอยู่ กว่าจะเข้าใจพระธรรมจริงๆ ประโยชน์อย่างยิ่ง คือให้เห็นถูกต้องว่าไม่มีเรา ทุกอย่างทั้งหมดเพื่อใคร เพื่อความไม่มี เพราะเราไม่มี สิ่งต่างๆ ที่ได้มาก็ไม่มีเราที่จะไปรับหรือเป็นเจ้าของสิ่งนั้น เพราะชัดเจนที่สุดเวลาที่จากโลกนี้ไป สิ่งที่มีทั้งหมดไม่ใช่สมบัติหรือสิ่งที่เก็บไว้เพื่อตนอีกต่อไป เพราะได้จากโลกนี้ไปแล้ว สมบัติที่เก็บไว้นั้นเพื่อใคร ในเมื่อไม่มีตน ไม่มีเรา
การฟังพระธรรม อย่าลืมว่า ขณะที่เพิ่งตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะแสดงพระธรรม เพราะลึกซึ้งมาก ถ้าเป็นสิ่งง่ายๆ ธรรมดาที่สัตว์โลกจะเข้าใจได้ ประพฤติตามได้โดยง่าย ก็ไม่ลึกซึ้ง แต่เห็นการสะสมความไม่รู้มานานมาก และความติดข้องมามาก ยากจะละได้ ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียดยิ่งถึงจิตใจทำให้เกิดแสงสว่างรู้ความจริงว่า อยู่มานานแสนนานเพราะไม่รู้ความจริง แต่พอเริ่มฟังพระธรรม เริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงนี้ไม่ใช่เรา มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ฟังอย่างนี้อีกนานเท่าไร ไม่มีใครตอบได้ นอกจากปัญญาที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะปัญญาตรง ปัญญาไม่เห็นผิดไม่เข้าใจผิด และไม่หลอกลวงด้วย รู้ก็คือรู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ รู้ขั้นฟังก็คือขั้นฟัง รู้ความต่างกันของสติขั้นต่างๆ ตั้งแต่สติที่เป็นไปในทาน สติที่เป็นไปในศีล สติที่เป็นไปในความสงบ ไม่โกรธ ไม่พยายาท และสติสัมปชัญญะที่กำลังเริ่มเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมะที่ฟังจนเข้าใจเป็นปัจจัยให้สามารถเริ่มเข้าใจถูกในคำที่ได้ยิน ไม่เปลี่ยนเลย ขณะนี้มีเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น นั่นคือโลกจริงๆ เพราะขณะนั้นจิตเกิดขึ้นรู้เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แต่ทีละหนึ่ง รวมหมดรวดเร็วจนกลายเป็นเรื่องราว เป็นคน เป็นสิ่งต่างๆ ก็แสดงให้เห็นว่า การเห็นคุณของธรรมะที่เริ่มเข้าใจ ก็รู้ว่า เข้าใจแค่นี้ไม่พอ ต้องฟังต่อไป ไม่ขาดการอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจขึ้น เพราะรู้ว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏ เพราะไม่รู้เลยว่า ต่อจากชาตินี้จะมีโอกาสได้เข้าใจ ได้ยินได้ฟังคำที่เคยได้ยินมาบ้างแล้ว จนสามารถเข้าใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ไม่มีใครสามารถรู้ได้
เพราะฉะนั้น โอกาสที่ยังมีชีวิตอยู่ก็สะสมสิ่งที่ประเสริฐสุด ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า ดีอย่างไรก็ไม่บริสุทธิ์ ถ้ายังเป็นเรา เพราะแม้จะดีขั้นทาน ขั้นศีล แต่ไม่เข้าใจความเป็นธรรมะ ทั้งหมดเป็นธรรมะ ก็ยังมีเรา
ท่านอาจารย์ และไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะไม่ได้ทรงแสดงธรรมะให้ติดข้อง แต่ให้ละอกุศลทั้งหมด ละความไม่รู้ทั้งหมด ละแม้แต่กุศล เพราะตราบใดที่ยังมีกุศล ตราบนั้นก็ต้องมีผลของกุศลนั้นๆ คนส่วนใหญ่ต้องการกุศลเพื่อได้ผลของกุศล นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงสอนให้รู้ความจริงว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ กุศลก็เป็นธรรมะ อกุศลก็เป็นธรรมะ
อ.กุลวิไล ถ้าไม่เข้าใจความเป็นธรรมะ แม้แต่ทำกุศลก็เพื่อเราอีก และท่านอาจารย์กล่าวตอนต้นชั่วโมงว่า ไม่คบคนพาล ที่น่ากลัวคือความเห็นผิด
ท่านอาจารย์ ความเห็นผิดเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งลืมนึกถึง หรือคิดไม่ถึงว่า ได้หันหลังให้พระสัทธรรม ไม่กลับมาอีกเลย หันหลังให้พระสัทธรรม คือ หันหลังให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะได้พบอีก
ผู้ฟัง เพราะรู้ชัด จึงไม่ใช่ สัตว์บุคคล
ท่านอาจารย์ แค่ฟัง เห็นก็เป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา ฟังก็เรากำลังฟัง เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจจริงๆ ไม่เปลี่ยนเลย ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม เพื่อให้เริ่มเข้าใจเรื่องของสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนี้มีเพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะรู้ธรรมะ ธรรมะจึงไม่ใช่เรา ทั้งหมดจนถึงวาระหรือขณะที่รู้จริงๆ ว่า นั่นเป็นธรรมะหนึ่ง ไม่ปะปนกับธรรมะอื่น เกิดขึ้นแล้วดับไป เมื่อนั้นไม่ใช่เราแน่
เพราะฉะนั้น เพียงขั้นฟังไม่พอ แต่ถ้าไม่ฟังเลยไม่สามารถรู้ความจริงอย่างนี้ได้ แต่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้เพราะเริ่มเข้าใจถูกต้องตั้งแต่ต้นว่า เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
ผู้ฟัง รู้ชัดนี่แค่ไหน
ท่านอาจารย์ ฟังนี่รู้ชัดหรือยัง
ผู้ฟัง ยังค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไรรู้ชัด
ผู้ฟัง น่าจะเป็นวิปัสสนาญาณ
ท่านอาจารย์ แล้วก่อนวิปัสสนาญาณ จะรู้ได้อย่างไร จะชัดได้อย่างไร ฟังให้เข้าใจแล้ว บางคนบอกว่าเข้าใจหมดแล้ว แล้วสติปัฏฐานก็ไม่เกิด เห็นไหมว่า เข้าใจหมดเลย แต่ตัวตนกำลังต้องการสติปัฏฐาน ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจความเป็นตัวตนที่ต้องการสติปัฏฐานเลย
เพราะฉะนั้น ก็คือว่าฟังแล้วเข้าใจความละเอียดของธรรมะ เข้าใจแม้แต่คำที่คนใช้กันทุกวัน แต่ไม่รู้จัก เช่นคำว่า “สติ” มีแน่ๆ โลภะมีแน่ ไม่ใช่สติ โทสะมีแน่ ไม่ใช่สติ โมหะมีแน่ ไม่ใช่สติ ศรัทธามีแน่ ไม่ใช่สติ
เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมะทีละคำ เพื่อเข้าใจ แต่ความเข้าใจธรรมะในขั้นฟังไม่ใช่ในขณะที่สภาพนั้นเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ความจริงว่าเป็นอย่างนั้น ระหว่างฟังเรื่องของสติ เข้าใจพอสมควร ไม่เหมือนขณะที่สติเกิด ถูกต้องไหม สิ่งที่ฟังแล้วยังไม่เคยเกิด เพียงแต่รู้ว่า ลักษณะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเมื่อใดที่สภาพนั้นเกิดขึ้น ขณะนั้นก็เข้าใจชัดเจนในสภาพธรรมะที่มีจริงๆ
ขณะนี้ที่กำลังฟังมีสติเจตสิกเกิดกับจิตแน่นอน มีศรัทธาด้วย มีหิริ มีโอตตัปปะ ได้ยินแต่ชื่อของสภาพธรรมะที่มีจริง แต่สภาพธรรมะแต่ละหนึ่งยังไม่ปรากฏเลย การศึกษาก็ทำให้รู้ว่า สติรู้อะไร เห็นขณะนี้ สติเจตสิกไม่ได้เกิดกับจิตเห็นแน่นอน แต่ขณะที่กำลังฟังเข้าใจมีสติเจตสิกเกิดพร้อมปัญญาขั้นเข้าใจว่า ขณะนี้เห็นมีจริงๆ แค่เห็นมีจริงๆ กำลังเห็นในขณะนี้ก็ต้องรู้ว่า ในขณะนี้ไม่ได้คิดอย่างอื่น เห็นมีจริง ต้องเห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เริ่มไม่คิดถึงอย่างอื่นแล้ว แต่เริ่มคิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เข้าใจไหม ถ้าไม่เข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นเพียงคิด โดยไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นไม่ใช่สติที่กำลังรู้ และเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
เห็นไหมคะ สิ่งใดก็ตามที่ยังไม่เกิด เราสามารถรู้ และเข้าใจลักษณะของสิ่งนั้นได้ไหม แต่เมื่อใดที่สติเกิด เมื่อนั้นรู้ เพราะเคยเข้าใจมาแล้วว่า สติเป็นอย่างนี้ เช่นข้อความที่ว่า มหาสติปัฏฐาน หรือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติเป็นสภาพที่ระลึกไม่พอ ระลึกรู้ ระลึกแล้วไม่รู้ก็ไม่ใช่สติ ถ้าบอกว่า ขณะนี้มีสติไหม มี แล้วสติรู้อะไร ไม่รู้ อย่างนั้นจะเป็นสติได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น สติเป็นสภาพที่ระลึกรู้ ต่างกันแล้วกับสภาพธรรมะอื่น เช่น ผัสสะ หรือเจตนา หรือเวทนา เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ระลึกขั้นคิด ถ้าระลึกขั้นคิดไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏ เพราะกำลังคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏ ห่างกันมากไหม สิ่งที่ปรากฏกับคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏ คิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏต้องห่างจากสิ่งที่ปรากฏ แต่สติเป็นสภาพที่ระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่คิด แต่กำลังระลึกที่ลักษณะที่มีจริงๆ และรู้ในลักษณะนั้น
เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่าตามรู้ ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะหรือสติปัฏฐานจริงๆ เราตาม เพราะไม่ใช่สติสัมปชัญญะจริงๆ เพียงฟังว่า สติปัฏฐานหรือสติสัมปชัญญะ คือตามรู้ นี่คือคำที่ได้ยิน ในขณะที่ไม่ใช่สติปัฏฐานจริงๆ เราตาม และตามห่างมาก เพราะสภาพธรรมะมีปรากฏ แต่กว่าจะตาม และไม่ได้ตามจริงๆ เพราะเป็นเราคั่นอยู่ด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ตามรู้คือทันทีที่สภาพนั้นปรากฏ ไม่มีสภาพธรรมะอื่น แต่สามารถเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะนั้น แม้ว่าเป็นคนละขณะก็จริง แต่ปัญญา และสติที่ได้เข้าใจแล้วก็ตาม คือรู้สิ่งที่ปรากฏในขณะนั้นทันที เหมือนไม่แยกกันเลย เวลานี้เห็นกับได้ยินเหมือนไม่แยกกันเลย แต่ความจริงห่างกันเกินกว่าสติสัมปชัญญะ ซึ่งแทนเป็นได้ยินก็เป็นสติสัมปชัญญะที่ไม่ใช่การได้ยิน แต่สติสัมปชัญญะรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่เปลี่ยนเลย เหมือนพร้อมกัน เพราะได้ยินกับเห็นยังเหมือนพร้อมกัน ทั้งๆ ที่ห่างกันมาก แต่เวลาที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ และมีสภาพระลึก คือรู้เพราะเข้าใจแล้วจากการฟังเกิดแทนที่จะเป็นได้ยิน ลองคิดดู เกิดแทนได้ยิน แต่เป็นสติสัมปชัญญะที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏด้วยความเข้าใจในความเป็นธรรมะ แม้เพียงชั่วขณะเล็กน้อย ก็รู้ว่า นั่นคือสติสัมปชัญญะจริงๆ เพราะไม่ห่างกันเลย ทั้งๆ ที่เห็นกับได้ยินเหมือนพร้อมกัน แต่ก็ยังไม่เท่ากับสติสัมปชัญญะที่ระลึก หรือจะใช้คำว่า ตาม ตามคือติดทันที ไม่แยกเลย
เพราะฉะนั้น เมื่อไรที่สติสัมปชัญญะเกิด เมื่อนั้นปัญญารู้ว่า นั่นเป็นสติสัมปชัญญะ ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้นๆ ๆ ๆ กว่าจะละคลายความยึดถือว่าเป็นเรา ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องรอ เพราะสังขารขันธ์เดี๋ยวนี้กำลังทำหน้าที่นั้น เราลืมจิตเจตสิกนี้หมดเลย มีแต่คน มีแต่พัดลม มีแต่โต๊ะ มีแต่เก้าอี้ ลืมว่าจิตเจตสิกกำลังทำหน้าที่ทุกขณะ คือ เห็นแล้วคิด แล้วจำ แล้วรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร แล้วมีได้ยิน แล้วมีคิด มิฉะนั้นก็เป็นเพียงเสียง แต่มีจำด้วย สภาพธรรมะทั้งหมดรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจลักษณะของสติสัมปชัญญะจริงๆ ที่ต้องมีปัญญา ความเห็นถูกเป็นปัจจัย มิฉะนั้นเกิดไม่ได้เลย ก็เป็นเราที่ได้ยินแล้วจะทำหมดเลย ได้ยินอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร จะเข้าใจอย่างไร นี่คือไม่เข้าใจธรรมะ
เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจธรรมะก็ต้องฟังแล้วรู้จริงๆ ว่า ที่คุณอรรณพได้แต่งเป็นคำกลอนก็มาจากได้ศึกษาธรรมะแล้วเข้าใจ และสามารถใช้คำธรรมดาแต่ตรงทุกคำ เป็นความจริงทุกคำ เตือนก่อนจะฟังธรรมะให้รู้ความจริงว่าเป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง ไพเราะมาก สุดท้าย คือ เพราะรู้ละ ตัวตน จึงพ้นภัย
ท่านอาจารย์ ถูกต้องเลย เพราะถ้าไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีความเป็นเรา ภัยทั้งหลายที่เกิดจากกิเลสก็ค่อยๆ ดับไป
ได้ทราบว่า ทุกคนซาบซึ้งมากในคำกลอนนำธรรมะของมูลนิธิ จนบางคนลืมเนื้อหาสาระที่ได้ฟังธรรมะไปเลย แต่ก่อนไม่ได้ฟังคำกลอนก็ฟังตัวธรรมะ แต่พอฟังคำกลอนแล้วซาบซึ้งจนบางคนไม่ได้สนใจฟังข้อความเหมือนเดิม
เพราะฉะนั้น เห็นไหมว่า ยากแสนยาก แม้ว่าเป็นคำเตือนให้รู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ไพเราะซาบซึ้งที่ได้ยินได้ฟังจนไม่สนใจในเนื้อหาสาระต่อไป ก็เป็นไปได้ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่า สาระอยู่ที่ไหน เตือนแล้วให้ฟัง แล้วกลายเป็นไม่ได้ฟังด้วยความสนใจเหมือนเดิม ก็เป็นไปได้ ลองสังเกตดู แล้วจะรู้ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่จริงๆ ควรเป็นว่า เมื่อเตือนแล้วควรทำตามที่ถูกเตือน คือ ฟังตามสิ่งที่ได้ฟังต่อไปด้วยความละเอียดรอบคอบ และเห็นคุณ เห็นประโยชน์จริงๆ ของธรรมะ
ชีวิตต้องอยู่ต่อไปอีกเป็นขณะจิตนับไม่ถ้วน นับไม่ได้เลย เป็นชาติก็นับไม่ได้ เป็นกัปก็นับไม่ได้ ถ้ายังคงไม่รู้ และจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากสุขเป็นทุกข์ จากคนยากไร้ก็เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นพระราชา มีอำนาจวาสนา แล้วก็เป็นหนอน แล้วก็เป็นอะไรมากมาย หมุนเวียนไปแล้วไม่กลับมาเป็นอย่างนั้นอีกเลย แต่สิ่งที่สะสมไว้ไม่ได้สูญหายเลย กุศล และอกุศลทุกอย่างสะสมสืบต่อ และเมื่อมีปัจจัยให้สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นปรากฏ
เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล อกุศลครบทั้ง ๑๔ เจตสิก โดยประเภทต่างๆ ทั้งอนุสัย ทั้งอาสวะ ทั้งนิวรณ์ ทั้งหมดเลย
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มี และกำลังมี เห็นไหมว่าอยู่ในขั้นของเข้าใจสิ่งที่มี แต่ยังไม่ถึงสิ่งที่กำลังมี