จะทำสิ่งปกติให้ปกติ
เพราะไม่มีปัญญาที่เข้าใจในความเป็นธรรมที่เป็นปกติในขณะนี้ จึงมีความ เป็นตัวตนที่จะพยายามทำสภาพธรรมที่เป็นปกติให้เป็นปกติ
ท่านอาจารย์ การยึดถือสภาพธรรมะก็ลึกมากแล้วก็ละเอียดมาก แม้แต่เพียงว่าปกติเข้าใจว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้ปกติแน่นอน ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย เกิดเพราะเหตุปัจจัย และดับ แต่ความไม่รู้ หรือความสงสัย หรือยังไม่ได้ดับความเผ็ดผิดก็ทำให้จะทำสิ่งที่เป็นปกตินี่แหละให้เป็นปกติ ลึกหรือไม่ ความเห็นผิด แม้เพียงเล็กน้อยปัญญาต้องรู้ ถ้าปัญญาไม่รู้ก็ไม่มีทางเลยที่จะดับความเห็นผิดที่จะทำสิ่งที่เป็นปกติอยู่แล้วให้เป็นปกติ จนกว่าจะไม่มีการเข้าใจผิด เพราะว่าเป็นปกติอยู่แล้ว แล้วไม่เข้าใจ ก็มีความเป็นเรา จะทำให้เป็นปกติ แต่ความจริง คือ สิ่งที่เป็นปกติอยู่แล้วไม่มีใครต้องไปทำให้เป็นปกติ แต่เพราะเหตุว่าไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจสภาพธรรมะที่เกิดแล้วเป็นปกติ ก็เลยจะทำสิ่งที่เป็นปกติ ให้เป็นปกติ
พระภิกษุ ก็ยังไม่ปกติเหมือนเดิม
ท่านอาจารย์ แน่นอน เจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นปัญญารู้จึงไม่ทำ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะละเอียดนะคะ และก็ลึกซึ้งด้วย และปัญญาก็จะต้องละเอียดที่จะรู้ตามไปโหมดที่จะดับความเห็นผิด และความติดข้อง
อ.อรรณพ ธรรมเป็นปกติอย่างไรก่อน
ท่านอาจารย์ อย่างนี้ไงคะ อย่างนี้เลย ทุกวันเป็นปกติเพราะเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงไปทำสิ่งที่เป็นปกตินี่แหละให้เป็นปกติ ทำเมื่อไหร่ก็รู้ว่ากำลังทำ ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่หนทาง เพราะฉะนั้นตลอดทางปัญญาจะรู้ว่าไม่ใช่หนทาง ไม่ใช่หนทาง ไม่ใช่หนทาง ด้วยเหตุนี้ จึงมีสักกายทิฎฐิ แล้วก็มีสีลัพพตปรามาส การประพฤติปฏิบัติด้วยความเข้าใจผิด สีลัพพตปรามาสดับได้ด้วยโสตาปัตติมรรคจิต ถ้ายังไม่ถึงโสตาปัตติมรรคจิต พยายามหรือว่าจะทำสิ่งที่เป็นปกตินั่นแหละให้เป็นปกติ สีลัพพตปรามาส เพราะอะไรคะ ยังไม่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นปกติ ก็เลยจะไปทำให้เป็นปกติ ไม่ต้องทำ เป็นแล้ว
อ.อรรณพ ถ้าเป็นความผิดผิด เขาน่าจะทำให้ไม่ปกติมากกว่า
ท่านอาจารย์ แต่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นปกติหรือเปล่า เป็นปกติแต่ไม่รู้ จึงจะทำสิ่งที่เป็นปกตินี่แหละให้เป็นปกติ
พระภิกษุ เป็นตัวตนไปบังคับหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ เป็นความเข้าใจที่เป็นสีลัพพตปรามาส คือเคลื่อนจากความถูกต้อง เพราะฉะนั้น สีลัพพตปรามาส จึงดับได้ด้วยโสตาปัตติมรรคจิต
อ.อรรณพ คือหมายความว่าเขาจะทำธรรมให้เป็นธรรมะ
ท่านอาจารย์ เพราะเขาไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นปกติแล้ว เวลานี้ มีได้ยินดับแล้ว จะรู้ได้ยินตามปกติ ทำรึเปล่า แต่ไม่ได้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นปัญญาคือความเข้าใจถูก ที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า ขณะไหนเป็นสีลัพพตปรามาส ไม่ใช่หนทางแม้เพียงเล็กน้อยเพียงแค่นิดเดียว เพราะฉะนั้นคนที่ศึกษาปริยัติธรรมไม่ได้รอบรู้จนเป็นสัจจญาณ ก็เข้าใจว่าต้องไปทำผิดปกติ เข้าไปสู่สถานที่ ทำอะไร ถามอะไรก็บอกว่าจะให้สติเกิด จนกระทั่งเคยสมมติว่าที่นี่เป็นห้องปฏิบัติ จะทำอะไร
พระภิกษุ กระทำความรู้สึกตัวในขณะที่เดิน
ท่านอาจารย์ ก็เดี๋ยวนี้จะสมมติว่าที่นี่ไม่มีใครเลย เป็นห้องปฏิบัติจะทำล่ะ จะรู้สึกตัวละ สมมตินะคะ ว่าเข้าไปในห้องปฏิบัติล่ะ ปกติเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า นี่ชัดเจนมาก แต่ว่าถ้าจะให้มีสติตามปกติ ผิดแล้วใช่ไหมคะ จะให้มีสติตามปกติ จะทำให้มีสติรู้สิ่งที่กำลังเป็นปกติ แค่นี้ก็ผิด เป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ที่ปัญญาจะต้องเจริญขึ้น คมขึ้น รู้ทั่วขึ้น จึงสามารถที่จะละความติดข้อง และความเห็นผิดได้ แล้วก็สัมมาสติ ไม่มีความสงสัยเลย เพราะเหตุว่าถ้าเป็นตัวตนอยู่ก็เข้าใจว่าขณะนั้นกำลังเป็นสัมมาสติ ที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมมะ แต่สัมมาสติจริงๆ เกิดแล้วต่างอีก นี้อีกขั้นหนึ่งที่มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้สัมมาสติเกิดหรือไม่ ต้องตรงตามความเป็นจริง ถ้าสัมมาสติเกิดต้องทำให้สัมมาสติเกิดรึไม่
พระภิกษุ ไม่ต้อง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถที่จะรู้ความต่างของขณะที่หลงลืมสติคือสัมมาสติไม่เกิด และขณะที่สติเกิดแล้วเป็นปกติ ต้องเป็นปกติ และคำว่าเป็นปกตินี่ละเอียดมาก เพราะเหตุว่าสภาพธรรมะที่เป็นปกติ เกิดดับตามปกติ