จิตนำไป
มีจิตเกิดดับสืบต่อตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้เข้าใจลักษณะของจิตเลย ทั้งๆ ที่จิต เป็นสภาพที่รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏ จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
ท่านอาจารย์ ประโยชน์ของการฟังธรรมก็คือว่า ฟังแล้วเรื่องจิตก็เข้าใจหมดเลย จิตมีเท่าไร จิตทำอะไร แต่ว่าไม่ค่อยจะคิดถึง หรือว่าอาจจะเป็นแต่เพียงชื่อ เวลาที่พระผู้มีพระภาคตรัสบ่อยๆ เหมือนกับว่าตรัสกับคนที่รับฟังทุกกาลสมัย ไม่ใช่แต่เฉพาะคนในครั้งโน้น แต่แม้ในครั้งนี้ ลืมจิตใช่ไหม เดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ที่ก็ตรัสไว้ "โลกอันอะไรนำไป โลกอันอะไรชักไป" หรืออะไร ก็แล้วแต่ทั้งหมด ก็เพื่อให้เข้าใจจิตที่กำลังมี จนกว่าสามารถที่จะรู้ได้ว่า จิตไม่ใช่เรา จิตต้องเป็นจิต ไม่ใช่เป็นเจตสิก ไม่ใช่เป็นรูป และเดี๋ยวนี้ก็มีจิต แต่เพราะไม่เข้าใจจิต ก็ยึดถือจิตนั้นว่าเป็นเรา
ทุกคำที่ตรัสเพื่อให้เขาถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ฟังแล้ว วันก่อนก็ฟัง ก็ศึกษาเรื่องจิตมาเป็นปีๆ แต่จิตเดี่ยวนี้ก็ยังไม่รู้ตามความเป็นจริงว่ากำลังเกิดดับแต่ละหนึ่งขณะสืบต่อกัน เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิด ฟังเพื่อว่าวันหนึ่ง สามาร๕ที่จะรู้ความจริงได้ว่าสิ่งที่เราไม่เคยนึกถึงเลย คิดถึงแต่สิ่งที่จิตรู้ เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏเพราะจิตเกิดขึ้นเห็น เราก็ลืมเรื่องจิตที่กำลังเห็น ถ้าไม่มีจิต เพียงไม่มีธาตุรู้ ก็จะไม่มีอะไรเลยที่สำคัญ รูปมี ก็ไม่มีใครรู้ เพราะรูปคือธรรมสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดดับ แต่ก็ไม่มีใครรู้ แต่เมื่อมีจิตแล้ว ทั้งหมดก็เป็นโลกที่ไม่เคยหยุดเลย ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ที่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ดับแล้วก็เป็นปัจจัยที่จะให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้
การฟังธรรมไม่ใช่ไปวิจัยสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แต่ว่าเป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อให้คนที่ได้ฟังไม่ลืมที่จะเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วขณะนี้เพียงจิตไม่เกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ อะไรๆ ก็มีไม่ได้ ถึงบอกแต่ถ้าไม่ไตร่ตรอง แล้วก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ก็เป็นแต่เพียงคำ
ขณะนี้เห็น ทุกคนไม่สงสัยเลย แต่ไม่รู้ว่า"เห็น"เป็นจิตประเภทหนึ่ง เป็นธรรมที่มีจริง เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้จิตเห็นเกิด จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ เท่านี้แต่ก็ไม่เคยรู้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่ปรากฏ เพราะจิตกำลังรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏว่ามีในขณะนั้น แค่นี้พอที่จะละการยึดถือจิตว่าเป็นเราหรือไม่
อ.คำปั่น ก็ต้องฟังต่อไป ต้องศึกษาต่อไป
ท่านอาจารย์ จึงมีข้อต่อไป ที่ผู้ที่ได้ทูลถามได้ถามต่อ และพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบต่อ
อ.คำปั่น ก็เป็นที่สงสัยมากว่า พระภิกษุได้กราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า โลกเป็นไปตามอำนาจของอะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดง ว่าเป็นไปตามอำนาจของจิต
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต จะมีโลกหรือไม่ จะมีอะไรปรากฏหรือไม่ "อำนาจ" ในที่นี้ หมายความถึงความสำคัญยิ่งของธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ข้อสำคัญคือเดี๋ยวนี้เริ่มเข้าใจหรือยัง กำลังมีจิต และขณะนี้ที่เห็นก็คือจิตที่เกิดขึ้นเห็น ไม่มีเรา แต่เป็นสภาพธรรมซึ่งบังคับไม่ให้เกิดได้ไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะให้จิตไม่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ก็ไม่ได้ จะไม่ให้จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏให้ได้ยินก็ไม่ได้
อยากเกิดเป็นต้นไม้หรือไม่ อยากเกิดเป็นดินหรือไม่ อยากเกิดเป็นอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่สภาพรู้ ดูจะดีกว่า ไม่ต้องเดือดร้อนเลย แต่ใครยับยั้งธาตุชนิดหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็เป็นสภาพรู้ ยับยั้งไม่ได้เลย ต้องเป็นอย่างนี้ไปจนกว่าจะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนี้ เกิดอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ว และเดี๋ยวนี้ก็กำลังพิสูจน์ว่าก็เป็นอย่างนี้แหละ เมื่อวานก็เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็เหมือนอย่างนี้ มีเห็น มีได้ยิน เป็นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเหตุปัจจัย ตราบใดที่ยังไม่หมดปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิด จิตก็ต้องเกิด และก็เป็นอย่างนี้แน่นอน จะเป็นต้นไม้ พืชทั้งหลายไม่ได้เลย เป็นก้อนหิน เป็นภูเขาเป็นอะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น และอะไรๆ ก็ไม่สามารถที่จะไปยับยั้งไม่ให้จิตประเภทนี้เกิดได้เลย
บางคนที่มีความทุกข์มาก ก็คิดว่าอยู่ในโลกนี้ไม่ไหว ตายดีกว่า แต่ไม่รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะหยุดการเกิดดับของจิตได้ ตายจากโลกนี้ไปเป็นอะไร ก็หนีไม่พ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือกรรม ทุกอย่างที่เป็นผลต้องมาจากเหตุ เมื่อเหตุดี ผลที่ดีจึงเกิดขึ้น แต่ต้องรู้ว่าผลที่ดีคืออะไร ก็ต้องทราบว่าตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมอะไร ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นเทวดา ไม่ได้อยู่ในสุคติ แต่อยู่ในภูมิต่ำซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น
เป็นมนุษย์เกิดมาแล้วเป็นผลของกุศลกรรม แต่การสะสมของกุศล และอกุศลซึ่งสะสมไว้มาก อะไรมากกว่ากัน ถ้ากุศลมากกว่า วันนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วใช่ไหม อกุศลเกิดมากกว่ากุศล แล้วพรุ่งนี้ล่ะ และต่อไปทุกวัน แต่ละชาตินี่ก็สะสมอกุศลไว้มาก แต่ยังมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่เกิดมาไม่ใช่อื่นเลยนอกจากความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว และเข้าใจทีละคำ เป็นผู้ที่รอบรู้ในคำนั้นอย่างมั่นคง จึงสามารถที่จะเป็นอย่างที่พระผู้มีพระภาคตรัสตอบผู้ที่ทูลถามข้อต่อๆ ไปได้