มีเมื่อปรากฏ
ในแต่ละวัน ไม่พ้นจากการรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ก็ คุ้นเคยกับการจำในสิ่งที่ดับไปแล้วว่ายังมี ซึ่งความจริงแล้วจะมีสิ่งใดสิ่ง หนึ่งปรากฏ ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นกำลังปรากฏ จากนั้นก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย จึงไม่มีสัตว์ บุคคล ใดๆ เลย แต่กว่าจะละคลายความติดข้องในสภาพธรรม ที่ปรากฏได้ ก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้ในการเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม แต่ละอย่างที่ปรากฏ
หนีพ้นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ไหม หนีไม่พ้น เกิดเมื่อไร ก็ต้องมีเห็น มีได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ทุกวันก็เป็นอย่างนี้ หนีไม่พ้นเลย แล้วก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว เพราะฉะนั้นการที่รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ยังไม่เคยคุ้นเคย กับการที่จะเข้าใจถูก ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงชั่วคราวที่ปรากฏ ขณะที่ไม่ปรากฏก็ไม่มีแล้ว ไม่ชินเลย ชินแต่ความจำ ด้วยความมั่นคงว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นอะไร เป็นใคร
เพราะฉะนั้นกว่าจะฟังใหม่ เข้าใจใหม่ ค่อยๆ คุ้นเคยกับการที่ได้ยิน ได้ฟังว่า มีเมื่อปรากฏ ถูกต้องไหม แล้วเวลาไม่ปรากฏ มีไหม เดี๋ยวนี้กำลังปรากฎจึงรู้ว่ามี แล้วเวลาที่ไม่มี ไม่ปรากฏ ยังมีอยู่ไหม เราเคยจำแม้สิ่งที่ไม่ปรากฏว่ายังมีอยู่ แต่ว่าตามความจริง ทุกสิ่งทุกอย่าง มีเมื่อปรากฏ แต่เมื่อไม่ปรากฏแล้ว ยังมีไหม เรายังจำอย่างมั่นคงว่ายังมีอยู่ แต่ว่าตามความเป็นจริงสิ่งที่ไม่ปรากฏไม่มีแล้ว ไม่มีเลย เมื่อดับแล้วไม่มีเลย
แม้เดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังปรากฏก็เกิดดับ แต่เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อ ยังปรากฏว่ามี เพราะเกิดอีก และดับไปแล้ว ก็เกิดอีก เพราะการเกิดอีกสืบต่ออยู่ตลอดเวลา ทำให้ดูเหมือนกับว่า มีอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ตรัสรู้ว่าสิ่งนั้นเมื่อเกิดแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา แต่ขณะนี้ไม่ได้ปรากฏอย่างนี้ เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่ปรากฏสืบต่อ จนลืมไปเลย เมื่อสักครู่นี้ได้ยิน แล้วได้ยินไปไหน ลืมไปเลย เป็นสิ่งอื่นซึ่งเกิดสืบต่อ เหมือนกับว่ายังคงมีอยู่
เพราะฉะนั้นถ้าค่อยๆ พิจารณาทีละอย่าง มีเมื่อปรากฏนี้แน่นอน ปรากฏแล้วจะว่าไม่มีได้อย่างไร แต่เมื่อไม่ปรากฏแล้ว ยังมีไหม ไม่มี รู้หรือเปล่า ยัง ก็คือว่า แต่ละคำๆ แสดงความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่เราจำผิดมาตลอดเวลา ถึงแม้ไม่เห็นแล้วก็ยังมี นั่นคือผิด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เดี๋ยวนี้แม้ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ ดับแล้วไม่มีแล้ว ใกล้กว่า เพราะยังมีเห็น ยังมีอะไรที่สืบต่ออยู่ ยังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยังปรากฏให้รู้ว่ามี
เพราะฉะนั้นความไม่รู้นั้น มากแค่ไหน ลึกแค่ไหน กว่าจะละความติดข้องได้ ทุกคนติดข้องในสิ่งที่มีที่ปรากฏ ถ้าไม่ปรากฏเลยจะไปติดข้องในสิ่งที่ไม่ปรากฏเลยได้ไหม ไม่ได้ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้ว ก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏนั่นแหล่ะ จะไปติดข้องในสิ่งอื่น หรือในสิ่งที่ไม่ปรากฏได้ไหม ในขณะที่สิ่งใดกำลังปรากฏ ก็จะต้องติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละคำ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะฟังแล้วผ่านไป และอยากจะรู้นั่นอยากจะรู้นี่ แต่ว่าแต่ละคำนั้นรู้จริงๆ หรือยัง แม้แต่ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏก็ผ่านไปแล้ว ได้ยินบ่อยๆ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็เป็นคนนั้นคนนี้ เพราะฉะนั้นกว่าแต่ละคำ จะมั่นคงอยู่ในจิต จนกระทั่งสามารถที่จะ เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏก็รู้ตามความเป็นจริงว่า อะไรกำลังปรากฏ อย่างขณะนี้อะไรปรากฏ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย ก็บอกเลยโต๊ะ เก้าอี้ คนต่างๆ กำลังปรากฏ แต่ถ้าฟังธรรมเพียงคำเดียว สิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ที่กำลังปรากฏให้เห็น
แค่นี้ ทุกคำต้องตรง แข็ง กระทบสัมผัส แต่ไม่ได้ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นเฉพาะสิ่งที่กำลังมองเห็น หรือว่ากำลังถูกเห็นในขณะนี้เท่านั้น ที่กำลังปรากฏว่า เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง บังคับไม่ให้กระทบตา บังคับไม่ให้จิตเกิดขึ้นเห็นก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพียงแค่หลับตา ปรากฏหรือเปล่า กว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่า นี่คือสิ่งที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เห็นอะไร เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มีจริงๆ กำลังถูกเห็น จิตเห็นกำลังเห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นกำลังปรากฏให้เห็น แต่เพียงหลับตา ไม่เห็นมีอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียว ที่สามารถที่จะกระทบตา และก็ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ได้ แล้วใครที่จะเข้าใจว่าเห็น เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีอะไรเลย
เพราะฉะนั้นกว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเคยชิน คุ้นเคยมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ และก็จะให้เข้าใจถูกต้องว่าไม่มี สิ่งที่มีก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏก็ไม่ได้รู้ความจริงว่า ปรากฏแล้วก็ดับไป
แต่ว่าผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้อย่างละเอียดยิ่งว่า เมื่อเห็นไม่ใช่คิด เพราะฉะนั้นถ้าเห็นไม่ดับไป คิดเกิดขึ้นไม่ได้เลย และถ้าคิดไม่ดับไป ได้ยินก็เกิดไม่ได้ และถ้าได้ยินแล้วไม่ดับไป คิดถึงเสียงที่ปรากฏก็ไม่ได้ นี่คือความละเอียดยิ่งของธรรม ไม่ว่าจะทรงแสดง ๔๕ พรรษา ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เพื่อที่จะให้ไม่ลืม ฟังแล้ว เข้าใจแล้วในขณะนี้ ลืมหรือยัง เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังอีกจนกว่าจะมีความมั่นคง กว่าจะละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เพราะเหตุว่าธรรมมีจริงๆ แต่เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราว ก็ติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ