เข้าใจว่าเป็นธรรมก่อน
การศึกษาธรรมต้องเข้าใจขั้นการฟังตั้งแต่ต้นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จึงจะเป็น พื้นฐานให้เข้าใจธรรมในขั้นต่อไปอย่างถูกต้องได้
อ.วิชัย อะไรที่เป็นบาป และอะไรที่เป็นธรรม ที่ไม่กระทำบาปครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ แล้วก็อีกนานไหม กว่าจะเข้าใจว่าเป็นธรรม ตั้งต้นตั้งแต่ไม่ทำบาป และบาปก็มีตั้งเยอะ ทุกวันด้วย แล้วไม่ทำเมื่อไรจะถึงการเข้าใจว่าเป็นธรรม ถ้าคิดแต่เพียงว่าไม่ทำบาปก่อน ที่ถูกก็คือควรเข้าใจธรรม ว่าเป็นธรรม มิฉะนั้นแล้วไม่ใช่การฟังพระธรรม ใครก็เห็นว่าอกุศลไม่ดี ให้โทษต่างๆ พูดกันได้ แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นธรรม ถ้าจะเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือว่า เริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่าเป็นธรรมนี้แน่นอน แล้วก็ฟังพระธรรมทุกคำ ที่ตรัสไว้แล้วด้วยความเข้าใจถูกต้องว่า ทุกคำเป็นธรรม นั่นจึงชื่อว่าศึกษาพระธรรม
อ.วิชัย ความละเอียดที่ทรงแสดงธรรม โดยละเอียดนี้ จะต่างกับความรู้ความเข้าใจทั่วไปอย่างนี้ไหมครับ
ท่านอาจารย์ แล้วแต่ก่อนนี้ ได้ยินคำพวกนี้ใช่ไหม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ แล้วรู้จักก็สัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
อ.วิชัย ยังเลย
ท่านอาจารย์ ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นจะได้ยินคำไหนก็ตาม ที่จะรู้ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ได้ตรัสรู้ความจริงที่ทำให้เข้าใจความจริง เพราะขณะนี้เห็น ไม่ใช่การฆ่าสัตว์ แต่เวลาที่มีการฆ่า ขณะนั้นก็มีจริงๆ ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าเป็นธรรม จึงจะศึกษาพระธรรมด้วยความเข้าใจขึ้น ด้วยความเข้าใจขึ้นว่าไม่ใช่เรา
อ.วิชัย แล้วการที่รู้ว่าเป็นธรรม จะไม่ให้ฆ่าสัตว์อย่างไร
ท่านอาจารย์ ใครฆ่า
อ.วิชัย ถ้าเข้าใจแล้ว ก็ต้องมีจิตที่คิดจะฆ่า
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นถ้ารู้ว่าเป็นจิตไม่คิดฆ่า เพราะว่าจิตเกิดแล้วก็ดับไป ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ ขณะนั้นชำระจิต เว้นจากอกุศลธรรมทั้งหลายแน่นอน ขณะนั้นกำลังชำระจิตให้บริสุทธิ์ เว้นจากอกุศลกรรมทั้งปวง แน่นอนขณะนั้น
อ.วิชัย ต้องอาศัยความเข้าใจเป็นเบื้องต้น
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี้คือพระธรรมลึกซึ้ง เราตามหนังสือไป ตามคำไป แต่เราย้อนกลับมาคิดไหม ว่าแท้ที่จริงนี้คำไหน เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไหนเป็นคำของคนอื่น ใครก็พูดได้ ฆ่าสัตว์มีโทษต่างๆ ลักทรัพย์ก็มีโทษต่างๆ แต่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ก่อนอื่นได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ต้องรู้ว่าความจริงนั้นคืออะไรก่อน มิฉะนั้นเราก็ตัดคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไป แล้วก็ไม่ต้องคิดถึงคำว่า โอวาทปาติโมกข์ ก็เพียงแต่ว่า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ธรรมดาๆ
แต่นี้ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงกับผู้ที่เข้าใจธรรม ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้ตรัสเลยว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ได้พูดเลย อยู่เฉยๆ ก็เว้นบาปทั้งปวง นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าจะไม่ต่างกับคำของคนอื่น แต่ที่ต่างกับคำของคนอื่นก็เพราะเหตุว่า ทุกคำทรงแสดงไว้แล้ว โดยความที่เป็นอนัตตา แล้วก็เป็นธรรมด้วย และธรรมทั้งหมดด้วย ไม่ว่าจะตรัสอะไรอีก ก็คือธรรมทั้งหมด เว้นก็เป็นธรรม ไม่ทำก็เป็นธรรม บาปก็เป็นธรรม
อ. อรรณพ เพราะฉะนั้นถ้าข้ามความเข้าใจ ว่าเป็นธรรมไปก็จบเลย ไม่ได้ประโยชน์อะไร
ท่านอาจารย์ ฟังพระธรรมก็ต้องรู้ ธรรมคืออะไร และใครเป็นผู้ทรงแสดง ลืมไม่ได้ตั้งแต่ต้น
ผู้ฟัง คือสังคมไทยทุกครั้งที่มีวันสำคัญก็จะต้องรณรงค์ว่า ไม่ทำบาป แล้วก็ทำกุศล แล้วก็ทำจิตให้ผ่องใส
ท่านอาจารย์ ทำไมเฉพาะวันนั้น ทุกอย่างที่ได้ยิน ได้ฟัง ถ้าไม่พิจารณาเหตุผล แล้วเราจะเข้าใจถูกได้อย่างไร ก็คิดตามที่คนอื่นคิดไปเท่านั้นเอง แต่ก็น่าพิจารณาในเหตุผลด้วย ก็คือเราศึกษาพระธรรม ที่ผู้มีพระภาคตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง แต่ละคำให้เข้าใจถูกต้อง ว่าธรรมไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็เป็นเราหรือเป็นของเรา หรือว่าอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา หรือของใครก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นธรรม ซึ่งเพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทรัพย์สมบัติเงินทองมี หมดไปได้ แต่ความเข้าใจธรรม มี แล้วเพิ่มขึ้น ต่างกันไหม เงินทองเอาไปไม่ได้เลย แล้วมีแล้วยังหมด ใช้ไปก็หมด ถูกขโมยก็หมด อะไรๆ ก็หมด แต่ปัญญาความเห็นถูก เมื่อมีแล้วเพิ่มขึ้น แล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะเอาไปได้ด้วย ลักขโมยไปไม่ได้ แม้ลมแดดยังถูกต้องไม่ได้เลย เก็บไว้ในที่ๆ ใครไม่สามารถที่จะไปขโมยได้ แตะต้องได้ เพราะเหตุว่าอยู่ในใจ อยู่ในจิตทุกขณะ
ต้องเข้าใจ การฟังธรรมต้องต่างกับฟังคำอื่น เพราะว่าคำอื่น ไม่ใช่คำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ แต่คำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ ประมาทไม่ได้เลย ไม่ประมาท ก็คือว่าต้องฟังด้วยความเคารพจริงๆ ถ้าเป็นผู้ที่ฟังธรรม ก็จะรู้ว่าเข้าใจธรรมแค่ไหน เพราะเหตุว่าเริ่มด้วยธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ว่าจะพบข้อความใดในพระวินัย ในพระสูตร ในพระอภิธรรม ก็ไม่ลืมว่าเป็นธรรม ไม่ต้องมีข้อโต้แย้งเลย ว่านั่นเป็นธรรม หรือนั่นเป็นเรา หรืออะไรต่างๆ จะต้องมีความมั่นคง ว่าเป็นธรรม
เมื่ออ่านคำว่าหรือได้ยินคำว่า ไม่ทำบาป ก็รู้ว่าเป็นธรรม คนที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจพระธรรมของพระองค์ ก็จะไม่รู้จักเลย ไม่ทำบาปก็คือเรา แล้วเมื่อไรจะรู้จักว่า สิ่งนี้เป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวถึงสภาพธรรมทั้งหมดเลย สภาพธรรมทั้งหมด ไม่ใช่แต่เฉพาะที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าสภาพธรรมใดๆ ทั้งหมด เป็นธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด แม้ว่าจะไม่กล่าวเจาะจงไปแต่ละคำ แต่ก็รวมถึงทั้งหมดแล้ว ไม่มีข้อสงสัยเลย การศึกษาธรรมด้วยความเข้าใจธรรม ก็จะทำให้มีความเข้าใจธรรมขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเราศึกษาธรรม แล้วก็เกิดความสงสัย ว่าขณะนี้เป็นเราหรือขณะนั้นเป็นธรรม