ผู้เห็นภัย
ภิกษุคือผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ หมายความว่าผู้ที่มีปัญญาเข้าใจความ เป็นธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วดับไปในชีวิตประจำ ซึ่งไม่จำกัดว่าต้อง บวชเป็นบรรพชิต ดังนั้นแม้จะเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ควรศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูก ซึ่งจะค่อยๆ เป็นไปเพื่อละชั่ว ประพฤติดี และจิต บริสุทธิ์ ด้วยปัญญา
ท่านอาจารย์ แม้แต่คำว่า ภิกขุ โดยมากเราก็จะคิดถึงแต่เพศบรรพชิต พระภิกษุที่ท่านบิณฑบาตตอนเช้า หรือว่าบวชกันมา ที่จะเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา แต่ว่าตามความเป็นจริงยิ่งกว่านั้น ความหมายที่ถูกต้อง ก็คือว่า เป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ แม้แต่คำว่า สังสารวัฏฏ์ก็ต้องเข้าใจ ทุกคำไม่ใช่ว่าเราเหมือนเข้าใจแล้ว เคยได้ยินมาแล้วตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตขึ้น แต่ว่าความจริงทุกคำละเอียดอย่างยิ่ง วัฏฏะ คืออะไรคะคุณคำปั่น
อ. คำปั่น วัฏฏะ โดยความหมายก็คือ การวนเวียน ซึ่งก็คือสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อ เป็นไปอย่างไม่ขาดสายครับ
ท่านอาจารย์ สังสาระ
อ. คำปั่น สังสาระ คือการท่องเที่ยวไป
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้หรือเปล่า ข้อสำคัญที่สุด ฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริง พระผู้มีพระภาคตรัสในภาษาบาลี คือภาษามคธีว่า ธรรม แต่เราได้ยินคำว่าธรรม แต่เราผ่านไป โดยที่ไม่คิดว่าเห็นนี่คือธรรม ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็ธรรม คิดก็ธรรม เพราะฉะนั้นผู้มีพระภาค ทรงแสดงให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในทุกกาลสมัย
ผู้ที่เห็นภัยก็ต้องรู้ว่า ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นวนเวียนไป เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วเกิดมาทำไม ในเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ว่าก่อนจะจากไป ก็มีชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่ให้เห็นได้ไหม ไม่ให้สุขได้ไหม ไม่ให้คิดได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นภัยรู้ว่า เมื่อเกิดมาแล้วชั่วคราว ชั่วขณะ แต่ละขณะ แต่ละวัน จนกระทั่งในที่สุดก็ทุกอย่างหมดแล้วไม่เหลือ แล้วก็จากโลกนี้ไป เกิดมาเห็น เกิดมาได้ยิน สนุกสนาน สุขทุกข์ แล้วก็ไม่เหลือ แล้วก็จากโลกนี้ไป
เพราะฉะนั้นการที่จะมีสาระในการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ และก็มีโอกาสที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง นอกจากได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ได้ฟังพระธรรมเมื่อไร เข้าใจเมื่อไร ก็เห็นพระคุณเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นผู้ที่เห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ คือสภาพธรรมที่เกิดดับในขณะนี้นี่เอง ก็นานมากจนกว่าจะรู้จริงๆ ว่ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแต่กราบไหว้ แต่ว่าเมื่อได้เข้าใจพระธรรมเมื่อไร ก็เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นการที่มีผู้ที่เห็นประโยชน์ ของการที่จะได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเดี๋ยวนี้ นานมาแล้ว ในสมัยพุทธกาล ก็มีผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่รู้ว่า เมื่อมีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ทุกอย่าง ทุกขณะที่มีจริงๆ ในชีวิต ก็สมควรที่จะได้มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูก เพราะมิฉะนั้นแล้ว ตลอดชาติก็ไม่มีการที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งเพียงปรากฏแล้วก็หมดไป
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วก็เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจความจริง ซึ่งมีอยู่ทุกขณะ แสนสั้น ผู้นั้นเป็นผู้ที่เป็นภิกขุ ไม่ต้องอุปสมบท ก็เห็นภัยได้ เข้าใจธรรมได้ ฟังธรรม ศึกษาธรรมได้ แต่ถ้าได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ผู้นั้นก็ไม่ใช่ผู้ที่เห็นภัย และก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัยด้วย
เพราะเหตุว่าผู้ที่จะเป็นภิกษุ ไม่ใช่เพราะอยากบวช แต่เป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว รู้จักตนเองตามความเป็นจริง แต่ละหนึ่งนั้นไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าในสมัยใดทั้งสิ้น ในสมัยพุทธกาลมีทั้งภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ ได้อภิญญาสมาบัติ คุณวิเศษต่างๆ และเป็นผู้ที่แม้ไม่ถึงคุณวิเศษนั้น ก็ถึงความเป็นพระอริยบุคคล รู้แจ้งสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้ จากความเข้าใจคือปัญญาที่ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นอริยสาวก
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความเห็นถูกอย่างนี้ และก็รู้อัธยาศัยของตนเองว่า ชีวิตจริงๆ ของแต่ละคน จะอบรมเจริญปัญญาในเพศไหน ท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ก็รู้จักตัวเองใช่ไหม อบรมเจริญปัญญาในเพศคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน แต่ก็มีบางท่านที่ก็มีศรัทธา ที่จะอุปสมบท ศึกษาพระธรรมในเพศของบรรพชิต ในสมัยโน้นมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ต่างก็ศึกษาพระธรรม เกื้อกูลกันที่จะให้ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเมื่อกาลสมัยล่วงเลยมา แต่พระธรรมเปลี่ยนไม่ได้ พระวินัยเปลี่ยนไม่ได้ คำใดที่ผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนได้เลย ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเคารพในพระคุณของพระองค์ แล้วก็ศึกษาด้วยความเคารพยิ่ง เพื่อที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ซึ่งสำหรับโอวาทปาติโมกข์ บางคนก็จำได้ มีอะไรบ้างนะคะ แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ซึ่งในวันที่ทรงแสดงพระปาติโมกข์ ยังไม่ถึง ๔๕ พรรษาเลย และก็ตรัสกับพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ ซึ่งท่านได้ดับกิเลสหมดแล้ว แต่ว่าประมวลแล้วไม่ว่าพระธรรมจะมีมากสักเท่าไหร่ ๔๕ พรรษา ทั้งพระธรรม และพระวินัย ซึ่งจำแนกเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ทั้งหมดประมวลมาอยู่ที่ ละชั่ว ส่วนใหญ่ชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ถ้าไม่ศึกษา ไม่รู้เลยว่า ขณะไหนชั่วหรือบาป แล้วก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่ากิเลสมาก ถ้าไม่ศึกษาธรรม ดูเหมือนไม่มีกิเลส บางคนก็คิดว่าตัวเองมีกิเลสน้อยด้วย แต่หารู้ไม่ เดี๋ยวนี้มีกิเลสหรือเปล่า ใครรู้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นพระธรรมทำให้บุคคลที่ไม่เคยเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง เริ่มมีความเข้าใจขึ้น เมื่อเห็นโทษของอกุศลก็ละบาป ไม่พอ เพราะเหตุว่าขณะใดก็ตาม ที่ไม่เจริญกุศล หรือจิตไม่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นจึงต้องทำความดีด้วย แล้วก็ชำระจิตให้บริสุทธิ์ เมื่อมีความเข้าใจธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมไม่มีทางที่จิตจะบริสุทธิ์ได้