งูที่คอยกัด
ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเป็นรูปหลักในกาย ที่เรายึดถือว่าเป็นตัวตนของ เรานั้น เปรียบเหมือนงูพิษ คือเมื่อมีความแปรปรวนของธาตุเหล่านี้ ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษโรคภัยต่างๆ จึงควรอบรมปัญญาเพื่อละ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ในห้องนี้ มีงูไหม
อ. ธิดารัตน์ ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่มีธรรม เเล้วจะเปรียบธรรมว่าอย่างไรดี ว่าธรรมที่ตัวนี้ มีสิ่งซึ่งเป็นโทษ เหมือนงูที่คอยกัด ให้ข้าวให้น้ำกิน เลี้ยงดูอย่างดีทุกอย่าง ทุกประการ งูนี้ก็ได้แก่ธาตุทั้ง ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เมื่อมีแล้วที่กายทุกข์ก็เกิด เดี๋ยวปวดที่นั่น เดียวเจ็บที่นี่ ใช่ไหม ไม่ได้อยู่เฉยเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดว่ามี แล้วก็ชอบมาก รักมาก เลี้ยงดู ป้อน ปรนเปรอทุกสิ่งทุกอย่าง ให้โทษแค่ไหน เดี๋ยวก็เจ็บตา เดี๋ยวก็เจ็บเท้า เเล้วก็เราก็อย่างนี้ ไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีนี้เป็นทุกข์ โดยเฉพาะรูปร่างกาย ถ้าไม่มี ก็จะไม่มีการเจ็บหรือการปวดเมื่อย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
เพราะฉะนั้นแค่อุปมาว่างูก็พอแล้ว ไม่ต้องมากมายถึงกับ ๔ ตัว กัดตรงโน้น ตรงนี้ หรืออะไร เพราะฉะนั้นคำอุปมานี้ ทำอย่างไรถึงจะเห็นได้ว่า ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่กายของเรา ที่ยึดถือว่าเป็นเรา แท้ที่จริงไม่ได้นำความสุขมาให้เลย มีแต่นำโทษภัยให้มา เหมือนกับงู ซึ่งวันหนึ่งกัด วันนี้ยังไม่กัด เจ็บตรงไหนกัดตรงนั้น เหมือนถูกงูกัด
แต่ความจริงก็คือว่า เพราะสิ่งนั้นมี ก็เป็นปัจจัยให้มีความรู้สึก ซึ่งถ้ากระทบกับสิ่งซึ่งแข็งมาก ไม่ต้องเรียกอะไรเลย เราอาจจะเรียกว่าปืน มีด ดาบ แต่ความจริงคือ แข็ง กระทบสัมผัสนี้ เราไม่รู้หรอก ไม่มีรูปร่างจะไปเห็นว่าเป็นอะไร แต่ว่าความรู้สึกขณะนั้น ทำให้ร่างกายเจ็บปวด ถ้าเป็นสิ่งซึ่งไม่มากมายใช่ไหม กำลังพอดีๆ สบายๆ อากาศก็ดี ขณะนั้นก็ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่ขณะใดก็ตาม ที่มีอะไรกระทบกายของเรา จะต้องมีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด คือสุขหรือทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้น และก็ดับไป ที่ตัวของเรา ที่ว่าเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เกิดดับ เร็วจนกระทั่งเราไม่รู้เลย เห็นมีไหม ได้ยินมีไหม เห็นเกิดหรือเปล่า ดับไหม ได้ยินเกิดหรือเปล่า ดับหรือเปล่า ไม่พร้อมกันเลยใช่ไหม ระหว่างนี้เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกัน ใช่ไหม แต่ความจริงไม่พร้อมกัน และระหว่างเห็นกับได้ยิน มีรูปซึ่งเกิดแล้วดับ ใครรู้
เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถจะรู้จักรูปได้ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ลักษณะของรูปหนึ่งรูปใด จึงจะกล่าวได้ ว่ารูปที่ปรากฏนั้น เกิดแล้วก็ดับไป ขณะนี้เราเพียงแต่พูดว่า รูปเกิดดับเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ และระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน ก็มีรูปเกิน ๑๗ ขณะแล้วใช่ไหม ที่เกิดดับโดยไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เข้าใจว่ามี หามีไม่ จะมีต่อเมื่อกำลังปรากฏแล้วก็หมดไป
กว่าเราจะเข้าใจคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ และความจริงที่ทรงแสดงไม่เปลี่ยน เราก็เข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย แต่กว่าจะถึงการประจักษ์แจ้งว่าไม่มี นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้แต่รูปที่เราว่าเรามี มีเมื่อปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตาม ที่รูปไม่ปรากฏ จำว่ามี นั้นก็ผิดแล้ว เพราะไม่มี แต่ก็จำว่ามี ไม่มีจริงๆ เพราะอะไร เกิดแล้วดับ สั้นมากเร็วมาก ปรากฏเมื่อไร เมื่อนั้น ขณะนั้นเกิดแล้วดับ ส่วนอื่นที่ไม่ปรากฏก็เกิดแล้วดับแล้ว ที่ตัวนี้ทั้งนั้น ถ้านอกตัวก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ร่างกายของเรา แต่เฉพาะรูปแข็งๆ ที่ตัวอ่อนๆ ที่ตัว ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ตัวนี้ ยึดถือว่าเป็นเรา แล้วก็จะเอาคำอุปมาอะไรมาแสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่ให้โทษ เป็นทุกข์ มีแต่ทำร้าย ทำลาย เมื่อถึงเวลา ก็ต้องอุปมาว่าเป็นงู แต่ไม่ได้หมายความว่ามีงูจริงๆ ข้างหน้าเรา ข้างหลังเรา ฟังธรรมต้องเข้าใจ พอเข้าใจแล้วก็ตัดอุปมาไปได้เลย ถ้าตราบใดที่ยังไปคิดว่าเป็นงู แล้วก็หางูอยู่อย่างนั้น แทนที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม
อ. ธิดารัตน์ คือที่ท่านอุปมา มหาภูตรูปนี้ เหมือนกับงูพิษ ๔ ตัว ท่านไม่ได้อุปมารูปอื่น แต่ท่านยกมหาภูตรูปนะคะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ มหาพุทธรูปมีเท่าไร แล้วงูมีเท่าไร ก็ ๔ ก็มหาภูตรูปเป็นรูปใหญ่ เป็นประธาน ถ้าไม่มีมหาภูตรูป รูปอื่นก็มีไม่ได้ แล้วที่ตัวนี้เวลากระทบสัมผัส อะไรปรากฏ เท่านั้นเอง ไม่ต้องไปคิดมาก งู ๔ ตัว เวลาที่งูตัวแข็ง ธาตุดินกัด ทำให้เป็นอะไร เวลางูธาตุน้ำกัด ทำให้เป็นอย่างไร ตับไตไส้พุงเป็นอย่างไร เน่าเฟะหรืออะไร ไปนั่งคิด แต่ว่าสาระสำคัญก็คือว่า เมื่อไรจะคลายการยึดถือรูปว่าเป็นเรา
จุดประสงค์คือเมื่อไรเวลานี้ เราพูดถึงรูป ก็ไม่ได้คิดถึง สักรูปเดียวที่กาย แต่ทรงแสดงธรรม เพื่อให้ระลึกคือรู้ ระลึกคือรู้ว่า มีรูปที่กาย แต่ไม่ใช่ให้คิดขณะที่กำลังกระทบสัมผัส นั่นแหล่ะคือได้เข้าใจคำสอนแล้วว่า ทั้งหมดเพื่อที่จะให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่กว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดงมากมาย จนกว่าเดี๋ยวนี้ ใครรู้รูปที่กาย ตราบใดที่ไม่รู้จักงู ก็พ้นจากที่จะมีงูไม่ได้ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่ายึดถืองู ว่าเป็นเรา เกิดมานี่ก็ทุกอย่างเลย ทุกวันเลยทุกขณะเลย ยึดถือไว้หมด ทุกรูป ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยึดถือเสียง ยึดถือกลิ่น ทั้งหมดที่มี ยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะพ้นได้ต่อเมื่อรู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีสักอย่างเดียว มีแต่สิ่งซึ่งกำลังปรากฏ แต่ว่าไม่ได้เข้าถึงความจริงว่า สิ่งนี้คืออะไร