กล่าวตู่พระพุทธพจน์หรือเปล่า


    อย่างไรเป็นการกล่าวตู่พระพุทธพจน์ อย่างไรเป็นการกล่าวตามพระพุทธพจน์


    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่กล่าวตู่เรื่องที่ไม่จริง

    ท่านอาจารย์ สอดคล้องทุกคำใช่ไหม คนพาลกับบัณฑิต บัณฑิตไม่มีทางที่จะตู่ แต่ว่าอกุศล ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ที่คิดว่าเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของใคร ไม่ว่าจะเป็นข้อความใดๆ ก็ตาม เพราะความไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วก็เป็นคำจริง ซึ่งไม่ใช่คำกล่าวตู่ ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดก็คือว่าเข้าใจธรรม แล้วก็ไม่ต้องไปคิดถึงอดีตโบราณกาล ๒,๕๐๐ กว่าปี มีอะไรเกิดขึ้นที่ไหน แล้วเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ต่างหาก ซึ่งสภาพธรรมเกิดขึ้น แล้วก็เป็นการที่พิสูจน์ว่า ได้มีความเข้าใจพระธรรมจริงๆ หรือเปล่า แม้แต่เพียงคำว่า ธรรม ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีจริงๆ และก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เลย และก็ทุกขณะธรรมก็แสดงความเป็นอนัตตา แต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีแล้วเปลี่ยนไม่ได้เลย จะไปกล่าวตู่ว่าไม่มี ได้ไหม เห็นขณะนี้มี แล้วจะบอกว่าไม่มีเห็น ไม่ได้ ใช่ไหม และเห็นมี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ต้องเข้าใจเห็น เป็นไปได้ไหม ในเมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ไม่ว่าคำของใคร พูดเรื่องอะไร ถ้าเป็นสิ่งที่ตรง จริงถูก ก็เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจด้วยการไตร่ตรอง ไม่ใช่ด้วยการฟังแล้วเชื่อ ขณะนี้ทุกคนไม่รู้จักธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรม จึงฟัง เพื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย เพื่อที่จะไม่กล่าวตู่คำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ไม่ได้ตรัส ให้ค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ แต่ให้ไปทำเพื่อที่จะรู้การเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ นี่ก็ตรงกันข้ามแล้ว

    เพราะฉะนั้นคำใดเป็นคำจริง ผู้ที่เข้าใจ และพูดคำนั้น ไม่ได้กล่าวตู่ แต่คนที่ไม่เข้าใจก็กล่าวว่า ขณะนี้แม้จะมีเห็น มีได้ยิน พระไตรปิฏกได้แสดงไว้มากมายในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไร แค่พูดว่าจะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติ ก็กล่าวตู่แล้ว

    เพราะเหตุว่าความจริงขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนเลย ว่าเป็นสิ่งซึ่ง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ใครรู้บ้างว่าเดี๋ยวนี้ทุกอย่างที่มี เกิดแล้วจึงมีในขณะนี้ ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นควรรู้ยิ่ง เพราะสิ่งที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป จะเป็นเรา หรือจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ และการที่จะละคลายการยึดถือสิ่งที่มีแล้วในขณะนี้ ต้องด้วยการฟังคำจริง ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังเลยไม่สามารถที่จะเข้าใจ และคลายความไม่รู้ได้เลย

    เพราะเหตุว่าขณะนี้ มีเห็นแน่ๆ แล้วก็รู้ไหม ว่ายึดถือเห็นระดับไหน แต่ละคน มีเห็น และก็กำลังเห็น และก็มีความไม่รู้ในเห็น จึงยึดมั่น ถือว่าเราเห็น เป็นเราที่กำลังเห็นมากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นคนอื่นก็ตอบไม่ได้เลย นอกจากคนที่ฟังรู้ว่า ยังมีอยู่ ซึ่งถ้าไม่ใช่ความเข้าใจจริงๆ จากการฟังแต่ละคำ ไม่มีทางที่จะไถ่ถอน ละคลาย การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ต่อให้มีคนกล่าวว่า เห็นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา พูดไปเถอะ แต่การที่เคยเป็นเรามานานแสนนาน และไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่ได้ฟังเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้น ว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้ว แล้วก็ดับแล้วด้วย เพราะขณะนี้ที่ได้ยินไม่ใช่เห็น ขณะที่คิดก็ไม่ใช่ได้ยิน ทำไมต้องศึกษา เพื่อที่จะได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า เราขาดการฟัง สิ่งที่เป็นความจริง แต่เราฟังเรื่องไม่จริง เรื่องคนเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ยึดมั่นว่าเป็นคนนั้น แต่ตามความจริงก็ไม่รู้เลย ว่าแท้ที่จริงแล้ว แม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว มีความเข้าใจมั่นคงมากแค่ไหนว่า ธรรมแต่ละหนึ่ง คือเปลี่ยนไม่ได้เลย แล้วก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าพูดอย่างนี้กล่าวตู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ไม่ได้กล่าวตู่เลยใช่ไหม แต่ถ้ากล่าวตู่ก็คือว่า ไม่ต้องฟังพระพุทธพจน์ เพราะว่าถึงฟังเท่าไร ก็ไม่รู้ กล่าวตู่ไหม ฟังเท่าไรก็ไม่รู้ นี่ตู่แล้ว ฟังแต่ละคำเพิ่มขึ้น มากขึ้น เข้าใจขึ้น นั่นไม่ได้กล่าวตู่เลย เพราะว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ มีใครฟังมาแล้ว ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ก็ยังขณะนี้เป็นเราเห็น เพราะว่าการฟังยังไม่พอ ที่สามารถ ที่จะสละคืนการที่เคยยึดถือเห็นว่าเป็นเรา นานแสนนานมาแล้ว

    เพราะฉะนั้นหนทางอื่นไม่มีเลย นอกจากปัญญาที่เกิดจากการฟัง ถ้าไม่มีการฟัง ก็ไม่สามารถที่จะถึงความเข้าใจสภาพธรรม ที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ทีละเล็กทีละน้อย ทีละนิดทีละหน่อย เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก หนึ่งขณะจิตที่เป็นโมหะมูลจิต ไม่รู้ หรือโลภะ มี ความติดข้อง หรือโทสะที่เกิด ไม่พอใจขึ้น เพียงหนึ่งขณะจิต น้อยแค่ไหน แต่ทำไมมาก เพราะเกิดบ่อยๆ

    เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละครั้ง ที่มีความเข้าใจเกิดขึ้น ทีละน้อยจริง แต่ก็มากขึ้นได้ และก็มั่นคงขึ้นได้ และก็เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้มีปัญญาอีกระดับหนึ่ง ที่เกิดเพราะเข้าใจจากการฟัง นั่นคือปฏิบัติหรือปฏิปัตติ ซึ่งหมายความว่า ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ โดยไม่ใช่เรา แต่เพราะเหตุว่าเข้าใจขึ้นๆ เวลาที่สภาพธรรมปรากฏกับสติสัมปชัญญะ เมื่อสติสัมปชัญญะเกิด ไม่มีใครไปทำให้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้เกิดเป็นอย่างนั้น จึงเป็นได้ กล่าวตู่หรือเปล่า ถ้าพูดอย่างนี้ แต่ถ้ากล่าวว่า ไม่ต้องฟังพระพุทธพจน์ เพราะว่าต้องปฏิบัติ ถึงสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ฟังพระพุทธพจน์ แล้วฟังใคร ลืมว่าฟังใคร คิดออกไหม ถ้าไม่ฟังก็สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วฟังใคร ฟังอาจารย์ คนไหนก็ได้ ที่กล่าวไม่ตรงตามพระธรรมวินัย แทนที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ก็มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านใด ที่กล่าวตู่พระพุทธพจน์เป็นที่พึ่ง

    ด้วยเหตุนี้ก็เป็นสิ่งซึ่งแล้วแต่ คนไทยก็พูดถูกมานานแล้ว ผู้ใหญ่สมัยก่อนคนโบราณ โบร่ำโบราณ แล้วแต่บุญกรรม ตามบุญตามกรรมนี่ตรง ใครจะทำอะไรได้เพราะเหตุว่าบุญที่ได้ทำมา กุศลกรรม ก็ทำให้มีการได้ยิน ได้ฟังได้เกิดในประเทศที่สมควร ประเทศที่สมควรก็คือ ที่ไหนก็ได้ ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เลือกได้หรือไม่ ว่าที่ไหน ถ้าที่มูลนิธิไม่พูดเรื่องธรรมเลย พูดเรื่องอื่น เป็นประเทศที่สมควรไหม แต่ถ้าจะมีการสนทนาธรรมที่ไหนก็ได้ และก็มีความเข้าใจ ที่นั่นก็เป็นประเทศที่สมควร แล้วแต่บุญกรรม หรือว่าตามบุญตามกรรม พูดอย่างนี้กล่าวตู่หรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่า ใครกล่าวตู่หรือไม่กล่าวตู่พระพุทธพจน์ ก็คือว่า ฟังแล้วพิจารณาว่า เป็นความจริงไหม เป็นเหตุเป็นผลไหม ง่าย ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจถูกต้อง ถ้าเป็นคนตรง ว่าขณะนี้กำลังเห็น รู้จักเห็นหรือยัง แต่ว่ากำลังเริ่มฟังให้เข้าใจ ว่าเห็นไม่ใช่เราจริงๆ เห็นมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วเห็นก็ไม่ใช่คิดด้วย เเล้วก็ไม่ใช่กุศลด้วย ไม่ใช่อกุศลด้วย

    เมื่อความเป็นจริงอย่างนี้ คำนั้นๆ ไม่ใช่คำกล่าวตู่ แต่ถ้าไม่กล่าวคำจริง ไม่รู้อะไรเลย ชักชวนกันไปปฏิบัติ ถูกชวนไหม เคยไหม ชักชวนให้ไปให้ไม่รู้ ใช่ไหม ไม่ได้บอกให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น นั่นจะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานจนกระทั่งได้ตรัสรู้ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก ด้วยการทรงแสดงพระธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมเลย จะไม่ได้ยินคำว่าธรรม จะไม่ได้ยินคำว่าอนัตตา จะไม่ได้ยินคำว่า สิ่งที่มีจริงทุกขณะ เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน ถ้าไม่ได้ฟังคำจริง ทั้งหมดเป็นคำกล่าวตู่


    หมายเลข 10476
    17 พ.ค. 2567