ดอกไม้อยู่ที่ไหน
จากการสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เห็น จะมีความคิดว่า เป็นดอกไม้ไหม
อ.อรรณพ ถ้าไม่เห็น ก็ไม่มีความคิด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่ว่าเป็นดอกไม้ ต้องเห็น ใช่ไหม
อ.อรรณพ ต้องเห็น
ท่านอาจารย์ แล้ว เห็นดอกไม้ หรือ เห็นอะไร
อ.อรรณพ จำไว้เหนียวแน่นว่า เห็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ แล้วจริงๆ แล้ว ถ้าหลับตา เห็น ดอกไม้หรือไม่
อ.อรรณพ หลับตา ไม่เห็น ไม่เห็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ดอกไม้อยู่ที่ไหน
อ.อรรณพ ผมกำลังเป็นตัวแทน
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ถามใหม่
ท่านอาจารย์ ใครก็ได้ เป็นตัวแทนได้ทุกคน จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีคำที่เหมือนคนอื่น ที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม
อ.อรรณพ ก็เป็นเขาที่หลับตา แล้วไม่เห็นดอกไม้ แล้วเป็นเขาที่ลืมตา แล้วก็คิดว่า เห็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่มีโอกาส รู้จัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ เพราะคนทั่วไป ก็คิดอย่างนี้อยู่แล้ว
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ฟังพระธรรม แล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ไม่ใช่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยหนทางเดียวเมื่อได้เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ทรงประกาศแล้วทรงแสดงความจริงของทุกอย่างเพื่อสัตว์โลกเริ่มพิจารณาว่าที่ว่าเป็นดอกไม้ อะไร เมื่อไหร่ ขณะไหน
อ.อรรณพ ถ้าฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะเข้าใจเรื่องดอกไม้ เห็นดอกไม้ คิดว่าเป็นดอกไม้ อย่างไร
ท่านอาจารย์ ดอกไม้ มีจริงไหม
อ.อรรณพ มีจริง ในความคิด
ท่านอาจารย์ มีจริง ดอกไม้เป็นอย่างไร ที่มีจริง
อ.อรรณพ ก็คิดว่า เป็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ คิดหรือ แต่ว่าไม่มีอะไรเลยหรือ เพียงแต่คิดหรือ
อ.อรรณพ มีเห็นแน่นอน
ท่านอาจารย์ แล้วเห็นอะไร
อ.อรรณพ ถ้าไม่ลืมตา ไม่ดู ก็ไม่เห็นว่าเป็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็นเลย จะมีดอกไม้ มีต้นไม้หรือไม่
อ.อรรณพ ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เห็นอะไร
อ.อรรณพ อันนี้ ยากที่สุด
ท่านอาจารย์ ไม่มีตา เห็นไหม
อ.อรรณพ ไม่มีตา ไม่มีทางเห็น
ท่านอาจารย์ มีตา แต่นอนหลับ เห็นไหม
อ.อรรณพ ตอนหลับ แม้มีตา ตาไม่บอด ก็ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาเห็น ต้องมีตา
อ.อรรณพ เวลาเห็น ต้องมีตา
ท่านอาจารย์ และต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้
อ.อรรณพ ต้องมี ต้องมีสิ่งที่กระทบตา
ท่านอาจารย์ ทั้ง ๒ อย่างต้องเกิด ไม่เกิด ก็ไม่มีเลย แต่เมื่อเกิดแล้ว กระทบแล้ว ก็ยังเป็นปัจจัยให้มี ธาตุคิด ธาตุรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็มีธาตุจำด้วย ถ้าเห็นแล้วไม่จำ จะมีดอกไม้ไหม
อ.อรรณพ ต้องมีความจำด้วย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความจำ ไม่ใช่การเห็น และเห็น ก็เห็นเพียง สิ่งที่สามารถกระทบตาได้ เสียงไม่ปรากฏว่ารูปร่างเป็นอย่างไร เพราะเสียงกระทบตาไม่ได้ กลิ่นไม่มีสีสันวัณณะที่จะมากระทบตา กลิ่นเป็นกลิ่น สิ่งที่กระทบตาเป็นสิ่งที่กระทบตา ก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง จริงไหม ชีวิตเกิดมา ก็มีเท่านี้แหละ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็จำไว้จนตาย แล้วก็จบ แต่ละวันๆ ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย จริงหรือเปล่า ค่อยๆ เข้าใจ เพื่อที่จะละความติดข้อง และความไม่รู้
อ.อรรณพ แต่กว่าจะแกะ ความคิด ความจำ ว่าเป็นกลุ่มก้อนสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยากมาก แล้วสภาพธรรมก็เกิดดับ รวดเร็ว
ท่านอาจารย์ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานเท่าไหร่ ที่จะรู้ ความจริง อย่างที่ทรงแสดง
อ.อรรณพ จึงเป็นความจริง ที่ลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์ แล้วเราคิดว่า เราจะรู้ได้เร็วไหม
อ.อรรณพ ไม่ได้เร็วแน่นอน
ท่านอาจารย์ แต่รู้ได้ไหม เพราะความจริงเป็นความจริง
อ.อรรณพ ถ้าความเข้าใจ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ
ท่านอาจารย์ พระธรรมที่ทรงแสดงทุกคำเป็นวาจาสัจจะ เปลี่ยนไม่ได้
อ.วิชัย กว่าที่จะมั่นคง ที่จะรู้ว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง ด้วยความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น โดยละเอียด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะแสดงให้รู้ได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สะสมไปที่จะรู้ว่านี่แหละคือความจริง
ความจริง คือ ทุกคนต้องเกิดแล้วตาย แต่มีสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นระหว่างยังไม่ตายมากมายมหาศาล แล้วก็หมดไปๆ แม้ขณะที่เกิดก็หมด แม้ขณะสุดท้ายที่จากโลกนี้ไป ก็หมด แล้วก็มีสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดสืบต่อ ซึ่งทรงแสดงไว้ละเอียดอย่างยิ่ง