โมหะเป็นเหตุ แต่ไม่ใช่เป็นอินทรีย์


    อ.นิภัทร อกุศลสาธารณเจตสิก ๔ คือ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ ๔ ตัวนี้เกิดกับอกุศลจิตทั้งหมด เดี๋ยวนี้เราก็มีโมหะ อวิชชานิวุตาโปสา สัตว์ถูกอวิชชาหุ้มห่อ โมหะเป็นองค์แรกในปฏิจสมุปบาท และยังเป็นเหตุให้เกิดสังขารด้วย แม้แต่ปุญญาภิสังขารๆ ที่ไม่เป็นไปที่จะให้พ้นจากวัฏฏะ จนกระทั่งถึงอเนญชาภิสังขาร ปุญญาภิสังขารหมายถึงกามาวจรกุศล และรูปาวจรกุศลทั้งหมด ส่วนอเนญชาภิสังขารหมายถึงอรูปาวจรกุศล ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในกรงเล็บของอวิชชา ถ้าไม่รู้ข้อปฏิบัติก็เป็นมิจฉาปฏิปทา เป็นข้อปฏิบัติยังผิดอยู่ ก็ดูอาฬารดาบส และอุทกดาบสท่านก็ยังไม่พ้นจากวัฏฏะ มันน่ากลัวแค่ไหน มนุสฺสา ภยตชุชิตา มนุษย์ทั้งหลายถูกภัยคุกคามก็ยังเอ้อระเหยอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องมาฟังพระธรรม การศึกษาพระธรรมไม่ใช่ศึกษาเพียงเฉพาะแต่ในตำราหรือตามตัวหนังสือเท่านั้นไม่พอ รู้อภิธรรมมัตถสังคหะ ๙ ปริจเฉทจบว่าได้หมดไม่พอ ที่เรารู้ที่เราเข้าใจมันมีหรือเปล่า ธรรมมันไม่ใช่เรา มีเหตุมีปัจจัยให้เกิดเขาก็เกิด

    ผู้ถาม ไม่ทราบว่าจะถูกหรือเปล่า คือถ้าเผื่อเราไม่มีโมหะ ไม่มีอวิชชา มันก็ไม่น่าจะมีโทสะ ไม่น่าจะมีอย่างอื่น หรือว่ามันเท่าๆ กัน โลภะ โทสะ โมหะ

    สุ. เราไม่สามารถที่จะมีปัญญาอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ศึกษาธรรมที่ได้ทรงแสดงแล้ว ก็จะต้องทราบว่าเรากำลังฟังหรือศึกษาเรื่องอะไร ถ้าพูดถึงสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ทั้งหมดมี ๒๒ อย่าง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้ว่าธรรมอะไรบ้าง นามธรรม และรูปธรรมใดเป็นอินทรีย์ คือเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เฉพาะในขณะนั้น ในกิจการงานนั้นๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นเราก็ค่อยๆ ศึกษา และค่อยๆ พิจารณา แต่ถ้าเราจะเอาความคิดของเรามาคิดจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะว่าอวิชชาหรือโมหเจตสิกเป็นสภาพไม่รู้เลย ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีความเห็นผิด ไม่มีความเห็นถูกอะไรเลย เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งไม่รู้ๆ คือไม่รู้ แต่ว่าเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นตราบใดที่เรายังไม่ศึกษา เราก็จะคิดเรื่องธรรมตามความคิดของเรา บางคนก็อาจจะถึงกับเขียนเป็นเรื่องราวเหมือนว่าเป็นธรรม แต่ถ้าตรวจสอบกับพระไตรปิฎกแล้วไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสำหรับสภาพธรรมทั้งนามธรรม และรูปธรรมที่ทรงแสดงว่าเป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่มี ๒๒ ประเภท ในอินทรีย์ ๒๒ มีอวิชชาหรือเปล่า ถ้าเราคิดเอง เราอาจจะคิดว่าน่าจะเป็นใหญ่ แต่ในลักษณะสภาพที่ไม่รู้ คนโง่ๆ ๆ ๆ มากเลยจะเป็นใหญ่ยังไงได้ ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าการที่เราศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ที่ละเอียด แล้วอย่าเอาความคิดของเรามาใส่ แต่ว่าต้องสอบทานจริงๆ ว่าในอินทรีย์ ๒๒ สภาพธรรมที่เป็นรูปที่เป็นอินทรีย์มีอะไรบ้าง และสภาพธรรมที่เป็นนามอินทรีย์มีอะไร ไม่เกินกว่านั้นเลย แต่ถ้าถึงความละเอียดก็ยังแสดงว่าในอินทริยปัจจัยเป็นเพียง ๒๐ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทรงแสดงเป็นผู้ที่ตรัสรู้ความละเอียดของสภาพธรรมโดยประการทั้งปวง แต่ถ้าเราคิดเอง เราก็อาจจะเข้าใจผิดไปได้

    ผู้ถาม กลับมาให้แคบลง โลภะ โทสะ โมหะ ผมก็ยังมีความรู้สึกว่าโมหะเป็นตัวที่มีน้ำหนักมาก มีอิทธิพลมากกับตัวเอง

    สุ. โดยเป็นเหตุ แต่ไม่ใช่โดยเป็นอินทรีย์

    ผู้ถาม ผมอาจจะใช้คำผิด

    สุ. ช้คำว่า “เหตุ” ได้เพราะเป็นมูลเป็นเหตุ แต่ไม่เป็นอินทรีย์ เพราะไม่ใช่สภาพที่เข้าใจอะไรได้เลย เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น

    ผู้ถาม ก็บอกว่าจิตเราเป็นอะไรที่บริสุทธิ์ เป็นจิตที่ประภัสสร แล้วที่มันไม่ดีเพราะพ่อแม่ไม่ดี สังคมไม่ดี ครูไม่ดี ว่าแต่ใครต่อใคร ผมไม่ทราบว่ามันถูกหรือเปล่า ตัวเขาเองเกิดมาเพราะกุศล กรรมของเขาที่เขาทำมาก็อาจจะมีส่วนทำให้เขาเป็นอย่างนั้น สภาพสังคมก็อาจจะมีส่วนนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง ผมไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า

    สุ. ถ้าเราไม่มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเป็นพื้นฐาน เราก็จะพบข้อความอะไรก็คิดเอง เข้าใจเอง ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่ามีตนเป็นที่พึ่ง ก็มีธรรมเป็นที่พึ่งจนกระทั่งถึงที่พึ่งสูงสุดก็คือสามารถจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็เพื่อความเข้าใจที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงต่อไป

    ผู้ถาม ที่ผมซึ้งตอนที่ผมมาศึกษาที่นี่ว่ามาคนเดียวไปคนเดียว แล้วก็ตนเป็นที่พึ่งของตนจริงๆ พ่อแม่ ครู ท่านก็ช่วยสอนเราจริง แต่บางทีสันดานมันไปไม่ได้จริงๆ จิตที่สะสมมาจริงๆ แล้วนี่มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำสอนหรือคำเทศนาที่บอกว่าไปว่าพ่อว่าแม่ไม่ดูแลลูกอะไรต่างๆ ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วย ไม่ทราบว่าผมเห็นผิดหรือเห็นถูก

    สุ. ก็เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจหลายอย่างก็ทำให้มีความคิดต่างๆ กันไป


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 196


    หมายเลข 10485
    2 ก.ย. 2567