ชวนกันไม่ให้ศึกษาธรรม


    เพราะไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จึงชวนกันไม่ให้ศึกษา พระธรรม และพากันไปปฏิบัติผิด ซึ่งเป็นการไม่เคารพพระรัตนตรัย และเป็นโทษ อย่างยิ่ง


    ปฏิบัติเอง ตามที่เคยสะสมมา ที่จะไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่เคยฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ถ้ามีคำพูดที่ว่า ไม่ต้องศึกษาธรรม ปฎิบัติเลย เสียเวลาศึกษาธรรมทำไม เพราะว่าไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ ถ้าฟังอย่างนี้ คิดหรือเปล่า คนนั้นกำลังชวนให้คนอื่นไม่ฟังพระธรรม ลืมเลย ตามเลย เชื่อเลย แต่คิดไหม ว่าคำพูดอย่างนี้ เป็นการชวนให้คนอื่นไม่ฟังพระธรรม เป็นการที่ไม่เคารพในพระรัตนตรัย

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพื่อที่จะได้อนุเคราะห์คนอื่น ซึ่งไม่มีพระมหากรุณาหรือความกรุณาเท่าพระองค์ เพราะเหตุว่าเราก็เพียงแต่ว่าตัวเล็กๆ ปัญญาน้อยๆ ค่อยๆ ฟังไป แต่ว่าผู้ที่มีอัธยาศัยใหญ่ หรือว่าสามารถที่จะมีปัญญายิ่งกว่านั้นอีก ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทรงแสดงธรรมให้คนอื่น ที่ไม่มีความเข้าใจเลย ได้มีความเห็นถูก ได้มีความเข้าใจถูก ด้วยพระมหากรุณาอย่างยิ่ง จึงทรงบำเพ็ญพระบารมี เป็นพระมหาโพธิสัตว์ ไม่ใช่สาวกโพธิสัตว์ ไม่ใช่ปัจเจกโพธิสัตว์ แล้วคนอื่นบอกว่าไม่ต้องฟังพระธรรม หมายความว่าชวนให้คนอื่นไม่ฟัง เพราะตนเองไม่ฟัง แล้วก็เก่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ผู้ที่กล่าวอย่างนี้

    เพราะว่าให้คนอื่นฟังตน ที่จะไม่ฟังพระธรรม แล้วก็ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นทุกคำแสดงความจริง ซึ่งไม่ควรที่จะผ่านไป ว่านี่คือการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสอนทั้งหมดจะอันตรธาน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงไว้จะไม่เหลือเลย เพราะเหตุว่าไม่มีใครฟัง ไม่มีใครศึกษา ไม่มีใครเข้าใจ เห็นว่าบุคคลอื่นน่าเชื่อถือกว่า

    คนที่กล่าวว่า ไม่ต้องฟังพระธรรม ปฏิบัติเลย ถ้าใครเชื่อตาม คนนั้นไม่ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่มีพระธรรม ไม่มีพระสงฆ์ ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่มีคนอื่นเป็นที่พึ่งเสียแล้ว พึ่งให้ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม พึ่งให้เชื่อคำของคนนั้น และทำตามคนนั้น โดยที่ว่า ถ้าจะสนทนากันจะตอบได้ไหม ว่าการที่ไม่ฟังพระธรรมนั้นเพราะอะไร ผู้ที่กล่าวว่าไม่ต้องฟัง ไม่จำเป็นต้องฟัง ปฏิบัติเลยเพราะอะไร เพราะเขารู้ดีกว่าหรือ หรือเพราะอะไร และเขาจะช่วยให้คนอื่น เกิดความเข้าใจได้ไหม ลองพูดมาแต่ละคำสิ ว่าแต่ละคำของบุคคลนั้น สามารถที่จะทำให้คนอื่น มีความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏได้หรือเปล่า เพราะเขาไม่เห็นว่าสำคัญ เขาคิดว่าจะปฎิบัติ แต่ปฎิบัติอะไร ทำอย่างไร รู้อะไร เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา ไตร่ตรอง ไม่ใช่ใครบอกว่า ไม่ควรที่จะศึกษาพระธรรม ปฏิบัติได้ทันที และถ้าจะบอกว่าไม่ได้พูดอย่างนั้น แล้วถ้าอย่างนั้นก็ต้องศึกษาพระธรรม ก็จะมีคำถามอีก ศึกษาแค่ไหน ปีหนึ่งพอไหม แล้วก็ไปปฏิบัติเสียเลย

    ใครสามารถที่จะรู้ว่า แต่ละคำฟังมาแล้วกี่ปี แต่ก็เพียงขั้นฟัง และเข้าใจ แล้วก็ลืมๆ ๆ เพราะเหตุว่าสัญญา ความจำ ความเป็นจริงของธรรมที่ได้ฟัง ไม่มั่นคง เช่น ขณะนี้เห็นเกิดดับ ใครมีความเข้าใจมั่นคงบ้าง ถ้าไม่ถามก็ลืมแล้ว สนทนากันเรื่องอื่นแล้วใช่ไหม แล้วถึงบอกว่า ทุกคนตอบพร้อมกัน เห็นขณะนี้เกิดดับแน่นอน ใครรู้ หรือเพียงแต่จำ และก็ไม่ปฏิเสธคำนี้ แต่ว่ายังไม่ใช่ปัญญาที่กว่าจะละคลายความไม่รู้ และการที่สามารถจะรู้ความจริงได้ ไม่ใช่ด้วยการที่เป็นตัวตน ที่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่เรา ธรรมที่เป็นปัญญาเท่านั้น ที่สามารถที่จะรู้ และเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ไม่มีใครสามารถที่จะมาบอกให้เข้าใจว่า ปัญญารู้อะไร ปัญญาคืออะไร เพียงแต่บอกให้ทำ แล้วก็ไม่บอกด้วย ทำแล้วรู้อะไร รู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้หรือเปล่า คนที่ศึกษาธรรมแล้ว ตอบได้เลย ถ้าไปปฏิบัติอย่างที่ทำกัน คือดูรูปนั่ง รูปนอน หรือว่าดูจิต หรือว่าเดินช้าๆ หรือทำอะไรก็ตามแต่ แล้วจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ไหม


    หมายเลข 10494
    17 พ.ค. 2567