ญาณจริยา


    ญาณจริยาคือวิปัสสนาญาณซึ่งเป็นปัญญาที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่ปรากฏตามความ เป็นจริงทีละอย่าง และกว่าปัญญาจะเจริญจนถึงญาณจริยาได้ ก็ต้องอาศัยความ ไม่ย่อหย่อนในการเจริญปัญญา และความไม่เพียรผิดด้วยความเป็นตัวตน ซึ่งก็คือ การฟังพระธรรมเพื่อความค่อยๆ เข้าใจขึ้นนั่นเอง


    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้ครอบคลุม ปกปิด หนาแน่นเพียงไร เพราะว่าขณะนี้ ทุกคนกำลังรู้ สิ่งที่จิตรู้ แต่ไม่ใช่รู้สภาพของจิต ที่กำลังรู้ ตั้งแต่เกิดจนตายมีสิ่งที่จิตเกิดรู้ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นทางตาเห็น ทางหูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส เดี๋ยวก็อาหารอร่อย เดี๋ยวก็ไปรับประทานที่นั่นที่นี่ ทั้งหมดเป็นแต่เพียงสิ่งที่จิตรู้ทั้งนั้น โดยไม่รู้จักจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้

    เพราะฉะนั้นโลกจริงๆ อีกโลกหนึ่ง แต่เป็นโลกของสัจจธรรม ความจริงก็คือว่า ขณะนี้มีจิต แต่ว่าลักษณะของจิตไม่ปรากฏ อย่างไรๆ ก็ไม่ปรากฏ มีแต่สิ่งที่จิตรู้ทั้งนั้นเลย ที่กำลังปรากฏ จิตเห็น แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ รูปร่าง สัณฐานต่างๆ แล้วก็มีการจำ มีเรื่องราวต่างๆ มีเสียง และก็เสียงสูงๆ ต่ำๆ และก็สามารถที่จะเข้าใจว่า แต่ละเสียงเป็นไปตามความหมาย ที่ทำให้สามารถที่จะเป็นเรื่องเป็นราว รู้ แล้วก็คิดตาม

    นี่เป็นโลกในชีวิตประจำวัน นานแสนนานก็เป็นโลกนี้ ยังไม่ใช่โลกของความรู้จริงๆ ถ้าเป็นโลกของความรู้จริงๆ ได้ยินคำว่าธาตุรู้ รู้ไหม ขณะนั้นที่จะรู้ได้ ต้องเป็นญาณจริยา เพราะฉะนั้นอีกโลกหนึ่ง โลกของความรู้จริงๆ ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่เป็นญาณจริยาก็คือว่า ไม่มีโลกที่กำลังปรากฏเหมือนเดิม แต่มีธาตุรู้ ซึ่งกำลังรู้ทีละทาง ทีละอย่าง ไม่ได้ปะปนกัน เป็นโลกอย่างนี้เลย นั่นคือญาณจริยา เพราะฉะนั้นอีกโลกหนึ่ง ต้องต่างกับโลก ซึ่งเป็นโลกของสิ่งที่จิตรู้เท่านั้น ทั้งหมดเลยกี่ชาติ ก็เป็นโลกของสิ่งที่จิตรู้ แต่ยังไม่รู้จักจิตว่าโลกจริงๆ ตามความเป็นจริง ลักษณะของธาตุรู้ เป็นอย่างไร

    อ. อรรณพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมที่สุด

    ท่านอาจารย์ กี่ชาติมาแล้ว ไม่รู้ความจริงเลย ว่าไม่มีใคร ไม่มีอะไร เพราะไม่เหลือเลย เป็นความประพฤติเป็นไปของธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้น เกิด และก็ดับ รู้สิ่งต่างๆ สืบต่อ จนกระทั่งถึงขณะนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องของญาณจริยาก็ต้องเป็นเรื่องที่เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้ความจริง เข้าใจแล้ว เข้าใจอีก สะสมไป ด้วยความเป็นอนัตตา ชัดเจนมากทุกคำ ไม่พัก ไม่เพียร ก็สนใจว่าอะไรกัน ใช่ไหม แต่ความจริงขณะนี้ ถ้าไม่ฟังพระธรรม พัก ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่า ไม่สามารถที่จะเจริญ จนกระทั่งถึงญาณจริยาได้ เพราะพักแล้วก็ไม่เพียร เพราะเหตุว่าเพียรด้วยความเป็นเรา ไม่ใช่การเจริญขึ้นของปัญญา ซึ่งทำหน้าที่ของปัญญา เพราะฉะนั้นขณะนั้น เพียรนั้นก็ต้องเกิดร่วมกับปัญญา ในความเป็นจริง ในทางที่ถูกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเพียรด้วยความเป็นตัวตนเมื่อไร ก็ผิด

    เพราะฉะนั้นทางสายกลางคือปัญญาเท่านั้น ที่จะเข้าใจถูกว่า ชีวิตที่เกิดมาแล้ว พักมาก หรือว่าเพียรมาก ผิดทั้งสอง ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา แล้วแต่ว่ามีเหตุปัจจัย ที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นโดยความเป็นอนัตตา ซึ่งขณะนั้นละความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ถ้าขณะใดที่เพียรจะเป็นคนดี หรือจะทำอะไรก็ตามแต่ ด้วยความเป็นเรา ขณะนั้นก็ยังคงเป็นเราอยู่ ไม่เข้าใจว่าเป็นอนัตตา แล้วก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นหนทางนี้ ต้องเข้าใจอย่างละเอียดลึกซึ้ง ถูกต้องด้วย เพราะว่าหลงง่าย ด้วยความเป็นเรา มานานแสนนาน


    หมายเลข 10496
    17 พ.ค. 2567