เก็บกิเลสหรือเก็บปัญญา


    จิตเป็นสภาพรู้ที่มีการสะสมทั้งสิ่งที่ดี และกิเลส แต่ส่วนใหญ่สะสมเก็บกิเลสไว้ในจิต มากกว่ามาก จึงควรเจริญกุศล และปัญญา ซึ่งจะสะสมไว้ในจิต และเป็นไปเพื่อ ละคลายดับกิเลสต่อไป


    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นธรรม ฝ่ายดีหรือไม่ดีที่เกิดแล้ว ไม่หายไปไหนเลย อยู่ในจิต คิดดู จิตเป็นสภาพธรรม ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย เป็นธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นรู้ ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่โลก ไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่คน ไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่เพราะขณะนี้มีธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่เรา และธาตุรู้จริงๆ

    ตัวจิตเป็นปัณฑระ คือสภาพที่ผ่องแผ้วเพราะว่าไม่กล่าวถึงเจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วยทั้งฝ่ายดี และไม่ดี จิตเป็นเพียงธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น แต่ว่าขณะใดก็ตาม ที่จิตเกิด ก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเจตสิกฝ่ายดีก็มี ไม่ใช่เรา เจตสิกฝ่ายไม่ดี ก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ที่สะสมมา ฝ่ายไม่ดีมากเลย ฝ่ายดีน้อยกว่าส่วนใหญ่ เพราะอะไร เมื่อวานนี้เก็บกิเลสมากไหม ทางตาเก็บแล้ว ทางหูเก็บอีก ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เก็บทุกวัน

    เพราะฉะนั้นกิเลสมาก แต่เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว อย่าคิดว่าเพียงเล็กน้อยที่ได้ฟังจะทำลายกิเลสได้ แต่ยังเป็นแสงสว่างในความมืด ที่จะทำให้เห็นถูกว่า ไม่ใช่เรา แล้วก็การที่มีความเข้าใจถูกต้อง จะค่อยๆ สะสมไป จนกระทั่งทำให้ทางฝ่ายกุศลมีกำลัง ผู้ที่เสียสละ ละอะไร ละอกุศล ละโลภะ ละโทสะ ละโมหะ ทำให้คนนั้นสามารถที่จะทำสิ่ง ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ แต่คนอื่นก็ไม่รู้ในความเป็นผู้เสียสละของใคร นอกจากบุคคลนั้นเอง เพราะใครจะรู้ถึงจิตของคนนั้นได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน เพราะว่าไม่สามารถที่จะกล่าวว่า ขณะนี้ คนนี้ กำลังคิดอะไร ผิดแน่นอน เป็นการเดาเป็นการทาย แต่ไม่ใช่เป็นการรู้ลักษณะของจิต เพราะรู้ลักษณะของจิต คือเข้าใจจิต เข้าใจธรรม ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปทาย หรือไปทักว่า ขณะนี้จิตคนนั้นเป็นอย่างนี้ จิตคนนี้เป็นอย่างนั้น ไม่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ต้องเป็นบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน ที่เป็นปัจจัย ที่จะทำให้มีโอกาสได้ฟัง และเห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตแต่ละชาติว่า ไม่มีประโยชน์อื่นใด จะเสมอเท่ากับการได้ฟัง และได้เข้าใจธรรม ซึ่งตนเองไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละครั้งที่ได้ฟัง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นขณะใด ขณะนั้นก็ค่อยๆ ละคลายกิเลส ซึ่งสะสมมา แต่เหมือนหยดน้ำทีละหยด บนหินก้อนใหญ่มหึมา จนกว่าอกุศลนั้นจะหมดไป ท้อถอยไหม

    ผู้ฟัง ไม่ท้อถอย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่พัก เพียรที่จะฟังต่อไป แล้วก็จะไปเคี่ยวเข็ญให้ปัญญารู้นั่น รู้นี่ เกิดวันนี้ วันนั้นหรือไม่

    ผู้ฟัง ก็ไม่เคี่ยวเข็ญ

    ท่านอาจารย์ เพราะมีความเห็นที่ถูกต้อง จึงไม่เพียรด้วยความเป็นเรา ที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นก็ฟังไปด้วยบารมี ๑๐ ความอดทน ความเพียร แต่ทั้งหมดต้องประกอบด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ขณะนั้นก็ไม่ใช่หนทางที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างที่ได้ฟังทุกคำ โลภะ มีรูปร่างลักษณะไหม โลภะ รูปร่างเป็นอย่างไร ไม่มีใช่ไหม ไม่ใช่รูปธรรม แต่เกิดติดข้อง แนบเนียนมาก คุณนิรันดร์อยากได้อะไร โลภะจัดหาให้ ทุกอย่างที่ต้องการ เห็นโลภะหรือยัง มากแค่ไหน ทั้งวัน แต่ปัญญาสามารถเข้าใจได้ว่าไม่ใช่เรา เพราะจะไปทำลายโลภะได้อย่างไร ด้วยความเป็นตัวตน ยังคิดว่าเป็นเราอยู่ ไม่มีทางที่จะละอกุศลใดๆ ได้เลย แต่ต้องมีความเห็นถูก เข้าใจถูกในความเป็นจริง ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ดับกิเลส ต้องดับกิเลสตามลำดับขั้น คือละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนก่อน แต่โลภะ โทสะ ยังมี จนกว่าเห็นโทษ เพราะรู้ลักษณะของธรรม ว่าเป็นธรรมเพิ่มขึ้นๆ จึงรู้ความหลากหลายของธรรม แล้วจึงเห็นโทษของธรรม ตามลำดับขั้น ว่าโลภะหยาบเป็นอย่างไร โลภะที่ละเอียดเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะละตามความเป็นจริงว่า สามารถจะโลภะอะไรก่อน โลภะที่ติดข้องในการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือว่าในความเห็นผิดต่างๆ ต้องหมดสิ้นไปก่อน

    แล้วชาตินี้ก็เป็นชาติก่อนของชาติหน้า เพราะว่ากรรมทั้งหมดพร้อมที่จะให้ผล โดยที่เลือกไม่ได้เลย กรรมหนึ่ง ไม่มีใครรู้เลย ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายของโลกนี้ ของชาตินี้ดับ กรรมนั้นมาแล้ว ถึงเวลาของกรรมที่จะทำให้จิตเกิดสืบต่อจากชาตินี้ แต่เป็นใครไม่รู้ จำชาติก่อนไม่ได้เลยสักนิดเดียว เหมือนชาตินี้ เพราะฉะนั้นก็ยังหลง ในชาตินี้ด้วยความเป็นเรา แต่เป็นเราเมื่อไร พอถึงชาติหน้าไม่รู้จักเลย ใครก็ไม่รู้ ทำอะไรมาแล้วก็ไม่รู้ แต่ทั้งหมดก็เป็นธรรม แล้วปัญญาก็จะเห็นถูกต้องว่า ทำดี แล้วก็ศึกษาธรรมให้เข้าใจ เพราะว่าชาติหน้าไม่มีทางรู้ได้เลย เมื่อไร เป็นอะไร จำไม่ได้สำหรับชาตินี้เลย แล้วก็ไปจำชาติต่อไป

    อ. อรรณพ กิเลสอกุศลเกิดแล้วดับแล้ว แล้วจะเก็บไว้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปสร้างที่เก็บ เก็บเอง เกิดแล้วไม่ไปไหน อยู่ที่จิต ดับก็ดับที่จิต ไม่เหลือ สิ่งที่เคยมีในจิต ก็มีปัญญา ที่ดับกิเลส ที่มีอยู่ในจิตจนหมด

    อ. อรรณพ เก็บปัญญาบ้างได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ด้วยความอยาก ต่อเมื่อใดปัญญาเกิด เมื่อนั้นปัญญาก็เก็บไว้แล้วในจิต พร้อมที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดอีก เจริญขึ้นได้ ทั้งหมดเป็นอนัตตา ถ้าจงใจแม้เล็กน้อยก็ผิด เพราะเป็นเรา ไม่ใช่ความเห็นถูกว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นข้อสำคัญที่สุด มั่นคงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา นั่นคือความเห็นที่ถูกต้อง ในการศึกษาพระธรรม วันนี้ทุกคนที่ฟัง เข้าใจมากกว่าเมื่อวานนี้ ใช่ไหม เพิ่มขึ้นอีกได้ไหม ก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ


    หมายเลข 10497
    17 พ.ค. 2567