ความเพียรไม่ใช่เรา
ความเพียรเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา จึงไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไร แต่ถ้าไม่เข้าใจมั่นคงว่าขณะนี้เป็นธรรม ก็จะไปปฏิบัติผิดต่างๆ ดังนั้นจึงควรมี ความเพียรในการฟังพระธรรมเพื่อความเข้าถูกในสภาพธรรม
ผู้ที่คิดว่าอยู่ธรรมดาๆ อย่างนี้ แล้วก็ไม่มีความเพียร ไม่ได้ทำความพากเพียรอะไร ใครทำ เห็นไหม ไม่ได้อาศัยพระธรรมเลยสักนิด ว่าแม้แต่ความเพียร ก็ไม่ใช่เรา ขณะไหนบ้างที่วิริยเจตสิกไม่เกิด เพียงแค่จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๑๖ ประเภท ซึ่งรวมทั้งเห็น กุศลวิบาก อกุศลวิบากขณะนี้ ไม่ต้องมีวิริยะเกิดร่วมด้วย แต่ว่าเวลาที่อกุศล ประเภทหนึ่งประเภทใดเกิด ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เกิดเลย แต่วิริยะก็ทำหน้าที่เกิดแล้ว แล้วใครจะไปทำอะไร มีตัวตนที่จะไปทำอะไรกับวิริยะ ซึ่งเกิดแล้วเพราะมีเหตุปัจจัย เกิดร่วมกับอกุศล แม้อกุศลขณะนั้นไม่มีโลภะเกิดร่วมด้วย ไม่มีโทสะเกิดร่วมด้วย เพียงแค่ไม่รู้ ขณะนั้นก็มีวิริยเจตสิกเกิดแล้ว แล้วใครจะไปทำวิริยะอะไรได้ นอกจากเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา
เริ่มตั้งแต่ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นปัจจัย ที่จะทำให้มั่นคงเป็นสัจจญาณว่า ไม่มีคำของคนอื่นที่จะฟัง นอกจากคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะเป็นความจริง ที่พิสูจน์ได้ และก็ถูกต้อง จะไปบอกใครว่า คนนี้ไม่มีความเพียร เพียรทำอะไร เพียรผิดก็มี เพียรถูกก็มี ถึงแม้คิดว่าเขากำลังขี้เกียจ ไม่ได้ทำอะไร ขณะนั้นก็มีวิริยเจตสิกเกิดแล้ว ใครสามารถจะบอกได้ ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นใครจะคิดกันเองสักเท่าไร เขาก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถที่จะทำให้กิเลสดับได้จริงๆ เพราะรู้ความไม่ใช่เรา
ต้องเป็นความอดทนมากแค่ไหน แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าไม่มีวิริยะหรือ ไปนั่งทำวิริยะ เพียรทำความทุกข์ลำบาก เดือดร้อน แต่ความเพียรที่เห็นความลึกซึ้ง แล้วก็ฟังจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น นี่คือความเพียร ซึ่งเป็นสัมมัปปธาน ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อ แต่สามารถที่จะรู้ได้ ว่าความเพียรที่จะละอกุศล ด้วยความเข้าใจ เพราะเหตุว่าใครก็ละอกุศลไม่ได้ นอกจากปัญญา เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังเข้าใจ มีวิริยเจตสิก เพียรแล้ว ไม่ต้องมีใครไปทำ ไม่มีใครทำอะไรได้เลยสักอย่างเดียว เพราะทรงแสดงไว้ว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร เพียรที่จะฟังเพื่อเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา กับมีตัวตนเพียรที่จะไปพยายามที่จะให้รู้ โดยที่ว่ารู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย นั้นก็ผิดแล้วใช่ไหม
เห็นพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง ถ้าไม่ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง ชาวโลกก็มีความเห็นของตัวเอง และก็มีหนทางปฏิบัติมากมาย แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ถ้าไม่มีการเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ ว่าเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย และดับด้วย ถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ ก็จะไปทำอย่างอื่น เพราะคิดว่าจะไปพยายามที่จะให้เห็นการเกิดดับของเห็น ได้ยิน ที่เป็นปกติอย่างนี้ แล้วเป็นไปได้อย่างไร
เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญาเลย แล้วจะไปรู้ความจริงของสภาพธรรมได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแม้วิริยะก็ต้องมีความเพียรที่จะฟัง เป็นวิริยบารมี การที่จะไปพากเพียรทำด้วยความเป็นตัวตน ๑๐ วัน ๑๕ วัน เป็นบารมีหรือ เป็นวิริยะหรือ หรือว่าเป็นโลภะ ที่มีความต้องการอย่างมาก ที่คิดว่าชาตินี้จะเป็นพระโสดาบัน บางคนก็บอกว่าเป็นพระอรหันต์ บางคนก็บอกว่าไม่ต้องมาก แค่นามรูปปริจเฉทญานก็ยังดี เป็นความหวังทั้งหมด แต่ไม่ได้รู้เลยว่าขณะนั้น ปัญญารู้อะไร