ธรรมสบายๆ
การศึกษาธรรมแบบสบายๆ คือปัญญาที่เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตาม ปกติแต่ถ้าไม่เข้าใจก็จะไปปฏิบัติผิดซึ่งไม่เป็นปกติ
สบายๆ ที่นี่ ต้องไม่ลืมคือปกติ เพราะเกิดแล้ว จะสบายกว่านี้ได้ไหม เป็นปกติ ธรรมดา เดี๋ยวนี้เพราะเกิดแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไร เกิดแล้ว ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงเป็นอภิธรรมทั้งหมด ไม่ว่าธรรมอะไร ถ้าง่ายพระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมีนานไหม กว่าจะตรัสรู้ความจริง ที่กำลังมีขณะนี้ และก็เปลี่ยนจากสบายๆ เป็นปกติได้ไหม ถ้าไม่เป็นปกติอย่างนี้จะรู้จักธรรมของแต่ละหนึ่งที่สะสมมา จนกระทั่งสามารถที่จะละความติดข้อง ในความเป็นเราได้ไหม
แต่ละคนไม่เหมือนกันนี่ค่ะ สภาพธรรมที่กำลังเกิดดับแต่ละคนเดี๋ยวนี้หลากหลายมาก และถ้าไม่เป็นปกติอย่างนี้ จะรู้จักว่าเป็นธรรมได้ไหม ที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นถ้าผิดปกติ แม้เพียงเล็กน้อย สีลัพพตปรามาสกายคันถะ ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา จะเข้าใจทันทีว่า ขณะไหนผิด เมื่อรู้ ปัญญาจึงละหนทางผิดนั้น แม้แต่เพียงความจงใจเพียงเล็กน้อย แม้แต่ความต้องการเพียงเล็กน้อย ซึ่งปกติธรรมดาก็มี แต่ว่าขณะนั้นต้องการจะรู้ ก็ยังเป็นสีลัพพตปรามาส เดี๋ยวนี้เห็น แล้วถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้น รู้เห็นที่กำลังเห็น จะละเกิดการยึดถือว่าเราเห็น ที่เป็นเราเห็นมานานแสนนานได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แล้วใครก็เลือกให้ธรรมประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดไม่ได้ โทสะเกิด ไม่อยากให้เกิด เสียใจเกิด ไม่อยากให้เกิด ทุกอย่างเกิดแล้วใช่ไหม แล้วจะไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว แล้วจะรู้อะไร เพราะฉะนั้นทั้งหมด เขาประมาทปัญญา เพราะไม่เข้าใจปัญญา ว่าปัญญาต้องรู้ได้ ถ้าปัญญารู้ไม่ได้ ดับกิเลสไม่ได้ ไม่มีอะไรจะไปดับกิเลสเลย พระอรหันต์ทั้งหลายเห็นสิ่งที่ปุถุชนเห็น พระโสดาบันเห็น พระสกทาคามีเห็น พระอนาคามีเห็น แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์เห็นแล้ว ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดต่อจากจิตที่เห็นเลย แล้วถ้าไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจเห็น ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ จะถึงที่ปัญญาสามารถที่จะไม่มีเลย หลังเห็นแล้วก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูก รู้ธรรมตามความเป็นจริงจึงจะเป็นปัญญาจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ลักษณะอย่างไรก็ตาม ปัญญาสามารถรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าขณะนั้นเป็นธรรมนั้นๆ ทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ การอบรมเจริญปัญญามีหนทางเดียว เป็นผู้มีปกติ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งก็คือว่า แม้เข้าใจธรรมแล้ว แต่ก็ยังต้องรู้ว่า หนทางนี้เป็นหนทางของสภาพธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ตั้งแต่ต้น จนกว่าจะถึงการดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา จึงสามารถที่จะดับกิเลสหมดได้ แล้วก็กี่โลก ก็ไม่พ้นจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจโลกไหนก็ตาม เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะหนีไปจากสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ แล้วก็ไปทนทุกข์ทรมานทำอะไร ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับแล้วในขณะนี้ได้