ละความไม่รู้ด้วยความรู้


    อวิชชาคือความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ซึ่งจะละอวิชชาได้ด้วยวิชชาคือ ปัญญาที่ความเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งจะมีปัญญาได้ก็ต้องอาศัยพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจากการที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตาม ความเป็นจริง


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็น ใครเห็น

    อ. วิชัย ถ้ากล่าวตอบบุคคลทั่วไป ก็ยังเป็นเราเห็น อยู่ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ธรรม เป็นเราเห็น ขณะนี้กำลังได้ยิน ใครได้ยิน

    อ. วิชัย ก็ยังเป็นเราได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เราได้ยิน แล้วอย่างนี้ชื่อว่า รู้จักธรรมหรือไม่

    อ. วิชัย แล้วอะไรจะเป็นความรู้ที่ต่างกับเป็นเราที่ได้ยิน กับความรู้เรื่องว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องมั่นคง พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ไม่ต้องฟังคำของพระองค์เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เราคิดเองเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นขณะนี้ เริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มีเห็น จริงไหม

    อ. วิชัย จริงแน่นอน

    ท่านอาจารย์ จริงแน่นอน แล้วก็ใครเห็น ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ไม่รู้เลย ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พูดถึงสิ่งที่มีจริง เรารับรองกันทุกคน พูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ละเอียดพอที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้อะไรมีจริงๆ นี่คือความไม่ละเอียด ถ้าไม่ละเอียดอย่างนี้จะเข้าใจอะไร จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร พระองค์ก็เหมือนคนอื่น ธรรมดาทั้งหลาย ที่คิดเรื่องของสิ่งที่มี แล้วก็แสดงตามความคิดเห็นของตนเอง แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง มิฉะนั้นก็ไม่รู้ไป และก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดชีวิตด้วย

    เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ปกติธรรมดาทุกคนเข้าใจว่า เราเห็น ก่อนฟังพระธรรม แต่เมื่อได้ฟังความจริงว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างขณะนี้ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และคำว่าตรัสรู้ หมายความว่าอะไร พูดทุกคำต้องเข้าใจ ไม่ใช่ว่าพูดตามเฉยๆ ตรัสรู้ คือรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด เปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือการตรัสรู้

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลย เพียงมีศรัทธากราบไหว้บูชา แต่ไม่รู้เลยว่า ที่กราบไหว้บูชา บูชาในพระคุณที่ทรงแสดงความจริง ซึ่งไม่มีใครเคยรู้มาก่อน ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้น โดยที่ใครก็ไม่สามารถที่จะไปทำให้เกิดขึ้นได้เลยสักคน แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ไม่ได้ตรัสว่า พระองค์ทำให้สิ่งนั้น สิ่งนี้เกิดขึ้น แต่ทรงแสดงว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นต้องมีปัจจัย หรือสิ่งที่อุปการะเกื้อกูลให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่ใครเลย และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใคร นี่คือความหมายของสิ่งที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใครด้วย เริ่มพิจารณาตั้งแต่เกิดมา ตลอดชีวิตก็มีเห็น ไม่รู้เลย มีได้ยิน ก็ไม่รู้ความจริง มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึก มีสุข มีทุกข์ มีมากมายหลายอย่าง ไม่รู้ความจริงเลย เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่า อวิชชา หรือโมหะคือความไม่รู้ ไม่ใช่รู้อื่น ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง เพราะฉะนั้นที่อวิชชาหรือความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดกิเลสทั้งหลายได้ จะค่อยๆ ละคลายลงได้ ก็ต่อเมื่อมีความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เกิดขึ้น จึงรู้ว่าความจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อนในสิ่งที่มีเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องเรา หรือใคร แต่เป็นเรื่องความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีปัญญาหรือยัง ต้องเป็นคนที่ตรง ทุกคำที่ได้ยินเป็นธรรม


    หมายเลข 10507
    16 พ.ค. 2567