ทุกข์เพราะสิ่งที่มี


    ทุกอย่างที่เกิด และดับล้วนเป็นทุกข์ แต่ก็ยังติดข้องเพลิดเพลินไปว่าสุข เพราะความไม่รู้


    ท่านอาจารย์ อ่านธรรม ฟังธรรม ต้องละเอียด ไม่ใช่พิจารณาไปทีเดียว "บุคคลผู้มีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร" จริงไหม ไม่ใช่อ่านไปเลย แล้วก็จริงหรือไม่ แต่ก็พิจารณาว่า ทุกข์ทั้งหลายที่มี คนที่มีบุตรมีทุกข์ไหม พอบุตรเกิดมา เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ดีใจที่มีบุตร แต่ตัวบุตรที่เกิดเป็นทุกข์หรือเป็นสุข

    ผู้ฟัง ดูเหมือนว่าบิดามารดาก็เป็นสุขเพลิดเพลิน ดีใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วทำอะไรบ้าง พอบุตรเกิดมา ทำอะไรบ้าง เพลิดเพลินอย่างไร ต้องเลี้ยงดูบุตรทุกประการนี่สุขไหม

    ผู้ฟัง แต่บางคนก็คิดว่า การเลี้ยงดูบุตร เป็นเรื่องของความสุขของพ่อแม่

    ท่านอาจารย์ นั้นคือความคิด แต่ลองคิดว่า ไม่มีบุตร มีทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง ทุกข์เพราะบุตรก็ไม่มี แต่ว่าทุกข์เพราะอย่างอื่นต่อ

    ท่านอาจารย์ แต่พอมีบุตรเกิด เข้าใจว่าเป็นสุข แต่ทุกข์มีหรือเปล่า ก่อนไม่มีบุตร ไม่ต้องทุกข์เลย ไม่ต้องเตรียมเบาะ ไม่ต้องเตรียมนม ไม่ต้องเตรียมอะไรหลายอย่าง แต่พอมีบุตรแล้ว ทุกข์ไหม แต่เข้าใจว่าเป็นสุข เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง เพราะความไม่รู้ แม้แต่ตนเองก็เป็นทุกข์ บุตรก็เป็นทุกข์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นทุกข์ เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วใครจะเห็น ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรมจริงๆ

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้ก็คิดอย่างหนึ่ง เพลินไปกับสิ่งที่เป็นทุกข์ โดยคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสุข จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อได้ฟังพระธรรม และความเข้าใจอย่างละเอียดจึงเกิดขึ้น ว่าผู้ที่ทรงแสดงความจริง ลึกซึ้ง ซึ่งตนเองไม่สามารถจะเข้าใจได้ แม้แต่เข้าใจว่า มีบุตรเป็นสุข ก็เริ่มรู้ว่าสุขจริงๆ หรือเปล่า เพราะแม้แต่ตัวเองก็เป็นทุกข์ แม้บุตรที่เกิดก็เป็นทุกข์ด้วย เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าใจ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ขณะนี้ก็ไม่เข้าใจ แล้วจะเห็นทุกข์ได้อย่างไร ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ทุกข์ที่แท้จริงก็คือ ความไม่เที่ยง ของสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วดับเร็วมาก เพียงแค่ปรากฏว่ามีแล้วดับ นี่ก็ต่างกับคนอื่น

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมนี้เพื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อฟังคำของพระองค์ และก็รู้ว่าเป็นคำจริง แต่ว่ากว่าจะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ก็ต้องฟังแล้ว ฟังอีก จนกระทั่งเป็นผู้ที่มั่นคง ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็สามารถที่จะเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎกได้ ทุกข์ชาวบ้าน ก็ทุกข์อย่างชาวบ้าน แต่ว่าทุกข์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จะต้องไม่เหมือนกับความคิดของคนที่เข้าใจเพียงทุกข ทุกข คือทุกข์ที่ทุกคนเห็นได้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่พอใจก็เป็นทุกข์ ประจวบกับสิ่งที่ไม่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ความจริงวันนี้ทุกข์มีแล้ว เห็นไหมตั้งแต่เช้ามานี้ทุกข์มีแล้ว คุณสงบเห็นทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ประจักษ์แจ้งในส่วนที่เป็นทุกข์ที่เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ตื่นขึ้นมาไม่เห็นทุกข์ แต่ตื่นแล้วเป็นทุกข์ไหม ทำอะไรบ้าง แน่ใจหรือ ว่าเมื่อเช้านี้ตื่นขึ้นมาแล้วทำความสะอาดร่างกาย รับประทานอาหารทั้งหมดเป็นทุกข์ หรือว่าไม่ได้คิดเลยเป็นกิจวัตรประจำวัน ซึ่งเต็มไปด้วยความยินดีพอใจ ตื่นขึ้นมาก็ต้องการจะทำอะไร รับประทานอาหารก็ต้องการ สิ่งนั้น สิ่งนี้ต่างๆ นานา รู้หรือว่าขณะนั้นเป็นทุกข์ ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรมไม่มีทางที่จะเห็นว่าเป็นทุกข์ แม้ทุกข์อย่างนี้ก็ยังไม่เห็น และทุกขอริยสัจจ์ ทุกข์จริงๆ ซึ่งคนอื่นก็เห็นไม่ได้ ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม

    จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ว่าเดี๋ยวนี้หรือที่ไหนก็ตามแต่ โลกไหนก็ตามแต่ สิ่งที่มีไม่ใช่ว่าไม่มี แต่มีเมื่อเกิดขึ้น มีแล้วดับไปไม่กลับไปอีกเลย จริงหรือไม่ ฟังธรรมไม่ใช่ให้เราไปรู้แจ้งแทงตลอด อย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง แต่เป็นการเริ่มเข้าใจความจริงของชีวิต ของโลก ของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในโลกนี้ และความจริงเป็นอย่างนี้หรือไม่ ค่อยๆ เข้าใจถูกเพิ่มขึ้น เพื่อละความไม่รู้ และความติดข้อง เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระสูตรนี้ก็กล่าวถึงสิ่ง ซึ่งพ่อแม่ทั่วไปก็เข้าใจว่า มีความยินดีที่มีบุตร แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วมีทุกข์เพราะมีบุตร

    ผู้ฟัง บุคคลมีโค ก็ย่อมเศร้าโศกเพราะโคทั้งหลาย อันนี้ก็นัยเดียวกันหรือเปล่าครับอาจารย์ เรื่องทุกข์ในสมบัติแล้วคราวนี้

    ท่านอาจารย์ คิดว่าได้โคมา ต้องให้โคกินหญ้าหรือไม่ ต้องดูแลโคหรือไม่ ก็เหมือนกับมีบุตร ก็ยินดีที่ได้มา แต่ไม่รู้ว่าทุกข์นั้นเกิดเพราะมีโค ถ้าไม่มีต้องเดือดร้อนไหม ต้องไปหาหญ้าให้โคกินหรือไม่

    ผู้ฟัง อย่างนี้เราก็ไม่ต้องมีโค เราไม่ต้องมีบุตร ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติ ก็ถึงจะมีความสุข

    ท่านอาจารย์ ไม่มี ไม่มีอย่างนั้น พอไหม

    ผู้ฟังไม่พอ

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่มีอะไรอีก

    ผู้ฟัง ไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่มีเรา เป็นธรรมทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นแม้แต่ทุกข์ก็มองไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ แสวงหาแต่ทุกข์ แล้วก็ได้ทุกข์มาเยอะๆ ก็ยังแสวงหาต่อไปอีก เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง รู้ว่าความจริงคือ ธรรมทั้งหมดเลย เป็นสิ่งที่มีซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ตราบใดที่ไม่รู้ความจริงก็ติดข้อง จะสละละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ได้อย่างไร เมื่อมีความติดข้องแล้ว แน่นอน ต้องมีทุกข์ เพราะว่าสิ่งที่ติดข้องไม่เที่ยง ไม่ได้ยั่งยืนที่จะให้เป็นที่รัก ที่ติดข้อง ที่พอใจต่อไป ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้นได้เลย เพราะฉะนั้นก็ต้องมีทุกข์เพราะความติดข้อง


    หมายเลข 10508
    16 พ.ค. 2567