คิดละกิเลสบ้างไหม


    มีกิเลสมากมายมหาศาล และเมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้ว เห็นโทษ และคิดจะละกิเลสบ้างไหม เพราะกิเลสนำมาแต่ทุกข์โทษประการต่างๆ


    ท่านอาจารย์ ทุกคนมีกิเลสมาก มากจนประมาณไม่ได้เลย เริ่มเห็นโทษของกิเลส และเริ่มคิดที่จะละไหม หรือว่าเหมือนเดิม อาหารนั้นก็อร่อยอย่างเก่า เสื้อผ้าเครื่องใช้ต่างๆ ก็ยังน่าใช้ น่าซื้อ น่าหา ยังติดข้องอยู่เหมือนเดิม คิดแม้แต่เพียงที่จะละ ว่าเรามีกิเลสมีความติดข้องมาก แล้วก็จะละได้อย่างไร มีกิเลสมาก ไม่มีใครปฏิเสธ แล้วจะละได้อย่างไร หรือคิดว่า ควรจะละบ้างไหม เป็นผู้ที่ตรง จริงใจ คิดบ้างไหมที่จะละ เมื่อคิดแล้วจึงรู้ว่า หนทางคืออะไร เพราะฉะนั้นบางทีการฟังธรรม ฟังธรรมโดยไม่รู้จุดประสงค์ ว่าเพื่ออะไร บางคนก็ฟังเพราะเหตุว่ามีเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้นก็ฟัง แต่ฟังเพื่อประโยชน์จริงๆ คือรู้ว่าตนเองมีความไม่รู้ และก็มีกิเลสมากเหลือเกิน ทุกด้าน รอบด้านไปหมด ไม่ว่าในเรื่องอะไร

    เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วเห็นกิเลส คือเห็นโทษ เป็นธรรมซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เพลิน ให้ชอบ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ และก็ความติดข้องคือกิเลส ก็ต้องนำความเดือดร้อน ความทุกข์ตามกำลังของกิเลส ถ้ามีกิเลสมาก ทุกข์น้อยได้ไหม หรือมีกิเลสน้อย ทุกข์มากได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้รู้ว่า ใครก็ตามวันนี้มีทุกข์เพราะกิเลส และใครก็ตามที่มีทุกข์เล็กๆ น้อยๆ กิเลสก็ยังไม่ปรากฏว่ามีมาก เมื่อไรทุกข์มาก เดือดร้อนมาก เรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องโน้น ก็แสดงว่าผู้นั้นมีทุกข์มาก เพราะฉะนั้นก็ให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม และกิเลสก็เป็นกิเลส

    เมื่อมีกิเลสมากๆ มีไหมที่จะไม่กระทำทุจริตกรรม ก็เป็นอภิสังขาร เป็นทุกข์ไหม กรรมเกิดแล้ว กรรมสำเร็จแล้ว จะต้องนำมาซึ่งผลของกรรม ซึ่งผลของกรรมก็เป็นทุกข์ด้วย เพราะเหตุว่า เกิดเป็นผลของกรรมแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่ว่าไม่เห็นโทษเลย ว่าผลของกรรมคือ ให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจเดี๋ยวนี้เอง พอได้รับสิ่งที่น่าพอใจ เพลินแล้ว ลืมแล้ว เป็นเพียงผลของกรรมดีที่ได้กระทำแล้ว ทำให้ได้พบสิ่งที่น่าพอใจ ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง

    เมื่อไม่มีปัญญา แล้วก็พรั่งพร้อมด้วยสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน ซึ่งเป็นผลของกรรมดี กิเลสก็ติดตามมาเพิ่มขึ้นอีก จากผลที่ได้รับแค่เห็นแล้วดับ กิเลสตามมานับไม่ถ้วน จากผลของกรรมที่ได้กระทำไว้เล็กน้อยมาก ได้ยินเสียงที่น่าพอใจแล้วก็ดับไป กิเลสตามมาอีกเท่าไร เพราะฉะนั้นทรงแสดงทั้งเรื่องของกาม ซึ่งเป็นอุปธิ เป็นผลของกรรม ถ้าเป็นสิ่งที่ดี ก็ทำให้เกิดกิเลส เป็นอย่างนี้แล้วคิดบ้างไหม ที่จะละ ละบ้างเพราะมากเหลือเกิน ที่มีมาแล้วก็มาก และยังเพิ่มขึ้นอีกทุกครั้งที่มีการได้รับสิ่งที่ดี

    อ. วิชัย ขณะที่รับประทานอาหารอร่อย ก็ไม่เห็นโทษของความพอใจตรงนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอาหารอร่อยมาก ยังไม่พอเติมอีกหน่อยไหม รสนั้นรสนี้ เป็นต้น อร่อยแค่นี้ยังไม่พอ ขอเพิ่มอร่อยขึ้นมาหน่อย อาจจะเติมน้ำปลาบ้าง น้ำตาลบ้าง มะนาวบ้าง ให้อร่อยขึ้นอีก แล้วอย่างนี้ ละกิเลสหรือไม่ ไม่เพียงพอต่อกิเลส เท่าไรก็ไม่พอ ไม่ว่าจะทางไหนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมด ทรงจำแนกโดยละเอียด เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้รู้จักตนเอง ไม่ใช่เพียงตัวหนังสือที่มีอยู่ในตำรา และก็มารู้ว่า อุปธิหมายความว่าอย่างนี้ได้แก่อย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เอง อุปธิแต่ละหนึ่งที่มี ไม่ว่าจะเป็นกามูปธิ รูป เสียง กลิ่น รส แวดล้อมทุกวัน เกิดในภูมิที่เต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะตั้งแต่เกิดจนตาย และเกิดอะไรขึ้น ก็คือกิเลสความติดข้อง

    ถ้าไม่มีการแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีใครคิดบ้างไหม ที่เห็นโทษของกิเลสว่า เป็นสิ่งที่ควรละคลาย หรือแม้แต่เพียงว่า คิดที่จะลดลงบ้างเท่านั้นเอง แล้วก็หนทางที่จะละก็มี แต่ว่าเป็นหนทางที่ยาวไกล เพราะเหตุว่ากิเลสสะสมมามาก เป็นหนทางที่ต้องอดทน และเป็นหนทางที่ต้องเข้าใจถูก เห็นถูก เพราะเหตุว่าอกุศลที่เป็นนายช่างที่สร้างเรือน ที่แยบยลมาก มีอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้จัก อยู่ด้วยตลอดเวลาก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และก็เริ่มรู้จักสภาพธรรม ซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง คือกิเลส


    หมายเลข 10511
    16 พ.ค. 2567