เพียรผิดหรือเพียรถูก


        พระธรรมเป็นประโยชน์เพื่อความเพียรที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อความเพียรผิด ปฏิบัติผิด ซึ่งไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย ดังนั้นจึงควรอนุเคราะห์กันให้มีความเข้าใจ และ ความเพียรที่ถูกต้องด้วยพระธรรม


        ท่านอาจารย์ คุณคำปั่น วิริยารัมภะทา ให้ความหมายด้วยค่ะ

        อ.คำปั่น ถ้อยคำที่เป็นไปเพื่อการปรารภความเพียร หรือ เริ่มความเพียรครับ พระธรรมเทศนาทุกส่วนเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้เป็นผู้มีความเพียรในทางที่เป็นกุศลครับ

        ท่านอาจารย์ ถ้ามีคนบอกว่าให้ไปสำนักปฏิบัติ ให้เดินจนเมื่อย ให้นั่งจนเมื่อย เป็นกถาหรือคำที่ให้เป็นไปเพื่อให้เพียรหรือเปล่า

        อ.คำปั่น ไม่ใช่ครับ

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ นะคะ ไม่ใช่คำง่ายๆ ใครบอกให้เพียรก็ตั้งหน้าตั้งตาเพียร ให้นั่ง ก็นั่งค่ะ ให้เดิน ก็เดิน ให้ทำอะไร ก็ทำ นั่นเพียรเหรือเปล่า เพียรผิด แสวงหาพรหมจรรย์ ซึ่งผิด เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจพระธรรมต้องไม่ลืม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำสำหรับให้ไตร่ตรอง ให้เป็นความเข้าใจ ถ้ากล่าวว่าขณะนี้มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ไม่มีใครในสิ่งนั้นเลย ไม่มีอะไรในสิ่งนั้น นอกจากเป็นธาตุที่สามารถกระทบตา รูปพิเศษที่สามารถกระทบสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น คือจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเกิดขึ้นเห็น กำลังเห็นอย่างนี้ ถูกหรือผิด ถูก แต่ยังไม่รู้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นคำพูดที่ถูกต้อง แม้ว่าขณะนี้ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้เป็นวิริยารัมภะกถาหรือไม่ เป็นคำพูดที่กล่าวถึงความเพียรซึ่งไม่ใช่เรา แต่ความเข้าใจที่เกิดพร้อมความเพียรก็รู้ว่า เพียรที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง

        เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจด้วย คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไหนไม่ใช่ จะบอกว่าพระพุทธเจ้าบอกให้เพียร อย่างไร เพียรอย่างไร เพียรเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดง เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจความถูกต้องด้วย มิฉะนั้นก็เป็นแสวงหาพรหมจรรย์ด้วยความเป็นตัวตน ซึ่งผิดแน่นอน

        อ.วิชัย อกุศลก็ยังมีปัจจัยที่จะให้พอใจยินดีในความที่จะรู้อยากรู้ อยากจะเข้าใจในสิ่งที่มีมีเป็นปกติขณะนี้ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นความเห็นผิดทางใช่ไหม

        ท่านอาจารย์ ใครรู้ อะไรรู้ที่สามารถจะรู้ได้ว่าผิด

        อ.วิชัย ต้องปัญญาที่รู้

        ท่านอาจารย์ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็ตามผิดไปเลย

        เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกในทุกอย่างที่มีจริงตามปกติ มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ที่ละทิ้งหนทางผิด เพราะปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าทางไหนถูก และทางไหนผิด ขณะทางผิดเกิดก็รู้ว่านั่นผิด จึงละ ถ้าไม่รู้ก็ไม่ละ

        เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าอนุเคราะห์สำหรับผู้ที่เห็นผิด เพราะว่าถ้าไม่พบปะ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังผู้ที่ไปสำนักปฏิบัติ ๒๐ กว่าปี ไม่เข้าใจอะไรเลย ถามเขาว่า เห็นขณะนี้มีไหม ตอบไม่ได้ จากการที่ธรรมดาที่ทุกคนสามัญก็รู้กลายเป็นหมดแม้แต่ความรู้สึกธรรมดาสามัญทั่วไปก็หายไป แล้วก็ถามเขาว่า งูเห็นหรือไม่ คิดนานค่ะ ต้องการคำตอบที่ถูกต้อง แต่ถ้าเข้าใจไม่ต้องคิดนานเลยใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็คิดนาน คำตอบคือว่า มันเห็นเวลามันฉก ก็ถามว่า ก่อนฉกงูเห็นไหม นี่ค่ะจากธรรมดาก็กลายเป็นผิดปกติหรือเปล่า แม้แต่เด็กก็ตอบได้ แต่ความเป็นผู้มีปกติหายไปหมด เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ค่อยๆ ผิดไปๆ แสวงหาไปผิดไปๆ ถ้ายังแสวงหาต่อไป จะเป็นอย่างไร

        เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงก็คือว่า ในฐานะที่ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก และก็มีการไม่รู้ และก็มีพระธรรม ซึ่งผู้ใดที่ศึกษาแล้ว และเข้าใจแล้วก็ควรที่จะอนุเคราะห์คนอื่น ด้วยความเมตตาจริงๆ ที่จะให้ไม่หันหลังให้พระสัทธรรม แล้วก็มีแต่ชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น และก็ถึงภาวะอย่างนี้ วันนั้นก็ได้พบ ๓ ท่าน ท่านหนึ่งท่านก็ไปสำนักปฏิบัติหลายแห่งมากมาย แต่พอได้ฟังเหตุผล ท่านทิ้ง ท่านทิ้งได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

        อีกท่านหนึ่ง ก่อนนั้นก็มีศาลพระภูมิอยู่ที่บ้าน พอฟังเข้าใจแล้ว ท่านรื้อศาลพระภูมิด้วยตัวเอง ด้วยตัวเองคือให้คนมาแล้วก็จัดการ แล้วก็เอาไป เพราะอะไรคะ ก่อนนั้นสิ่งนั้นก็อยู่ที่ร้าน ใครไหว้บ้าง ใครไปร้านแล้วก็นั่งไหว้ไปเถอะ ศาลน่ะมีไหม ก็ไม่มี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นไปซื้ออะไรมาไหว้ ซื้อมาไหว้ แล้วก็ไหว้ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าแสวงหาพรหมจรรย์

        เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจพระสูตรก็จะดูชีวิตประจำวันจริงๆ ก็หลากหลายมาก หลากหลายจนจิตหนึ่งขณะไม่ว่าจะมีมากเท่าไหร่ในสากลจักรวาล เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย มีปัจจัยที่จะทำให้จิตใหม่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งอยู่เรื่อยๆ แม้ในขณะนี้ที่กำลังฟังไม่มีใคร แต่มีจิต เจตสิก สังขารขันธ์ ก็ปรุงแต่ง แล้วแต่ว่าจะคิดอย่างไร จะเข้าใจอย่างไรต่อไป จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครสามารถจะไปทำอะไรได้เลย นอกจากขณะนี้เอง จะรู้ว่าสังขารปรุงแต่งอะไร ฝ่ายดีหรือฝ่ายผิด ก็คือว่าเมื่อมีสิ่งใดที่เป็นความเข้าใจถูก ก็คือสังขารขันธ์ที่กำลังฟังขณะนี้แล้วเข้าใจก็กำลังปรุงแต่งจนกระทั่งถึงกาลเวลาที่สภาพธรรมใดจะเกิดก็ต้องเกิด ตามความเป็นจริงอย่างนั้น

        เพราะฉะนั้นแสวงหาพรหมจรรย์ อันตราย เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าพรหมจรรย์คืออะไรที่ถูกต้อง ความประพฤติที่ประเสริฐต้องเป็นปัญญา


    หมายเลข 10513
    12 ก.พ. 2567