การสละคืน
ยิ่งฟังไม่ว่าจะเป็นพระอภิธรรมหรือพระวินัย ก็ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตาว่าอกุศลไม่สามารถจะละได้ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ถ้าเข้าใจความละเอียดขึ้น สิ่งที่จะติดตามไปคือมีความเข้าใจว่าอะไรเป็นธรรม และธรรมนั้นเป็นอนัตตา อย่างท่านพระสารีบุตรก่อนที่ท่านจะได้ฟังพระชาติสุดท้ายจากท่านพระอัสสชิ ท่านก็ต้องฟังมามาก ชื่อเยอะแยะเลย และชื่อเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะจริงๆ ขณะนี้สภาพธรรมก็ปรากฏแต่ว่ามีความไม่รู้ และมีความติดข้อง เพราะฉะนั้นการที่จะค่อยๆ เข้าใจเพื่อที่จะละ ลองคิดถึงการสละคืน ไม่ต้องการอีกแล้วในสภาพธรรมที่เพียงเกิดขึ้น และดับไป มีใครคิดอย่างนี้ได้ แค่คิด แต่ปัญญาจริงๆ ไม่ใช่คิด แต่เห็นความจริงของสภาพธรรมตามที่ได้ฟังสะสมมาแต่ละชาติ พร้อมที่ว่าเมื่อท่านเกิดในชาตินั้น ได้ยินได้ฟังเท่านี้ ท่านสามารถที่จะสละคืนสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้สภาพธรรมเป็นจริง แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ฟังให้เข้าใจความจริง เพื่อว่าการอบรมก็จะได้อบรมให้ถูกต้อง และเวลาที่มีการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมก็เป็นการยืนยันว่าตรงตามที่ได้เข้าใจซึ่งเป็นความจริงในขั้นฟัง เพราะฉะนั้นขั้นฟังก็จะต้องพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังตามลำดับโดยที่ว่าไม่ข้ามไป อย่างคำว่า “ธรรม” เป็นอนัตตา แล้วจะไปมีตัวตนที่จะไปทำอย่างนั้นอย่างนี้นี่ก็คือไม่ตรงต่อธรรม ไม่ตรงต่อความจริงที่ได้ยินได้ฟังว่าเมื่อธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติไม่ใช่สมาธิ และสติสัมปชัญญะก็ต่างกับสติขั้นอื่น ถ้าเป็นสติปัฏฐานก็จะต้องมีฐานหรือที่ตั้งของสติซึ่งเป็นสภาวธรรมที่มีลักษณะจริงๆ ปรากฏให้รู้ซึ่งขณะนี้กำลังมี กำลังปรากฏ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ก็จะต้องมีความเข้าใจว่าถ้ารู้ก็ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย แต่ไม่มีเครื่องกั้นจึงสามารถที่จะรู้ได้ถึงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ชื่อต่างๆ เรื่องต่างๆ เพราะว่าท่านเป็นผู้เลิศในทางปัญญา ท่านพระอานนท์ท่านฟังธรรมบทหนึ่งยังแตกได้ถึงหกหมื่นบท แล้วท่านพระสารีบุตรจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้แม้ปัญญาที่เกิดจากการฟังในชาติก่อนๆ เพื่ออย่างเดียวคือเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่เอาชื่อทั้งหมดมา แต่เวลาที่ท่านบรรลุธรรม คุณธรรมที่ท่านได้สะสมมาทั้งหมดก็ทำให้เป็นผู้เลิศแตกฉานยิ่งกว่าบุคคลอื่น
ที่มา ...