ปัญญารู้อะไร


        ปัญญาคือความรู้ที่ถูกต้องในความจริงขณะนี้ เช่น เห็นขณะนี้ ปัญญาสามารถ เจริญขึ้น จากขั้นการฟังจนรู้สภาพธรรมของเห็นขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง


        คุณวิชัยกล่าวถึงท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโกฏฐิตะทั้งสองท่านเป็นผู้ที่มีปัญญา ใครก็ไม่รู้ได้ยินแต่ชื่อ แต่บอกว่าเป็นผู้มีปัญญา เพราะฉะนั้นเราไม่เผิน ต้องรู้ว่าผู้มีปัญญา ปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เป็นความรู้ถูก เพราะฉะนั้นปัญญารู้อะไรจึงเป็นผู้มีปัญญา ต้องละเอียดมาก แม้แต่คำว่าปัญญา อย่าข้ามไปถึงทุกขอริยสัจจะ หรือสิ่งที่ท่านเหล่านั้นได้ตรัสรู้จากการที่มีปัญญา เพราะฉะนั้นท่านเหล่านั้นต้องต่างกับคนยุคนี้สมัยนี้แน่นอนคนสมัยนี้แน่นอน ถ้าจะกล่าวว่ามีปัญญา เข้าใจคำว่าปัญญาหรือไม่ แต่ก็พูด ว่าเด็กคนนี้มีสติปัญญา เรียนหนังสือคนนี้ก็มีสติปัญญา รู้จักสติ รู้จักปัญญาหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าเผินก็คือใช้คำที่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ใช้ตามๆ กันด้วย

        เพราะฉะนั้นแม้แต่คำคำเดียวว่า ปัญญา ต้องรู้ว่ามีจริงหรือเปล่า และปัญญาเป็นอะไร ปัญญาเป็นคน หรือปัญญาเป็นตา หรือปัญญาเป็นหู เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นอะไร ปัญญาเป็นความรู้จริง ความรู้ที่ถูกต้อง รู้อะไรจริง ต้องละเอียดด้วย ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏใช่ไหม เห็นหรือไม่ มีเห็นใช่ไหม ถ้ามีเห็น ปัญญารู้อะไร นี่เริ่มคิดแล้ว เมื่อมีเห็น ปัญญารู้อะไร ปัญญารู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็น จึงจะชื่อว่าเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นที่จะกล่าวว่าผู้มีปัญญา ไม่ใช่เผิน แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ แม้แต่คำเดียวว่าปัญญา ต้องรู้ว่าปัญญารู้อะไร ขณะนี้มีเห็น แล้วไม่รู้ว่าเห็นนี้เกิดใช่ไหม ถ้าเห็นไม่เกิด จะเห็นไหม และเห็นเกิดแล้วต้องดับ นอนหลับไม่มีเห็น เห็นหายไปไหน เพราะฉะนั้นเห็นเกิดแล้วต้องดับ ขณะนี้ได้ยินแล้วไม่ได้ยิน แล้วได้ยินเมื่อครู่นี้หายไปไหน เพราะฉนั้น ชื่อว่า รู้ความจริงของเห็น รู้ความจริงของได้ยินหรือไม่ เพราะฉะนั้นปัญญาต้องหมายความถึงสิ่งที่เป็นความรู้ถูก ความเห็นถูก ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย เป็นจิตใจ ซึ่งถ้าพูดอย่างชาวบ้านก็บอกว่าทุกคนมีใจ แต่ใจนี่หลากหลายเพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่เกิดกับใจหลากหลาย เพราะฉะนั้น บางใจก็ดี บางใจก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นปัญญาต้องเป็นสภาพธรรมที่ดี เพราะเหตุว่าสามารถรู้ถูก เข้าใจถูก ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้

        เพราะฉะนั้นก่อนอื่น มีใครสงสัยในความหมายของคำว่าปัญญาหรือสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นความเข้าใจ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้หรือไม่ ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ความจริงของเห็น ของได้ยินเดี๋ยวนี้ แล้วจะตรัสรู้อะไร มีใครสามารถที่จะบอกได้ เพราะว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ชื่อว่าผู้นั้นเข้าใจถูก เห็นถูก หรือว่ามีปัญญาได้ไหม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะกล่าวว่าใครมีปัญญา ก็ต้องรู้ว่าปัญญารู้อะไร จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่ามีปัญญา หรือไม่มีปัญญา

        เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นที่จะรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ นั้นคืออะไร นี่เป็นการเริ่มต้นของปัญญา น่าเบื่อหรือยังไม่พูดเรื่องอะไรที่น่าตื่นเต้นเลย พูดเรื่องธรรมดา มีเห็น และก็ไม่รู้ความจริงของเห็น มีได้ยิน และก็ไม่รู้ความจริงของได้ยิน เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งต่างๆ ที่มีจริงหรือไม่ เมื่อตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า เพราะฉนั้นบางคนซึ่งต้องการผลสำหรับตัวเอง อยากจะหมดกิเลส พยายามไปทำอย่างอื่น แต่รู้หรือไม่ว่ากิเลสอยู่ที่ไหน มากแค่ไหน ทั้งวันมีกิเลสแล้วมากมายอย่างไร แล้วจะหมดกิเลสได้โดยไม่รู้จักกิเลส แล้วจะหมดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดถึงว่าการที่จะไปที่หนึ่งที่ใด ไปเพื่อที่จะได้ปฏิบัติ และก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เพราะเหตุว่า ไม่รู้ว่าขณะนี้มีกิเลส การรู้แจ้งอริยสัจธรรม คือการอะไร การดับกิเลสเพราะความรู้ความเห็นถูก ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ไม่มีความเห็นถูก ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย ต้องเป็นผู้ที่ตรง ขณะนี้ยังงงๆ หรือว่ายังเห็นประโยชน์หรือเปล่าว่าการที่เรามานั่งฟังที่นี่เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่พูดเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องคำใหญ่ๆ แล้วเราก็ตื่นเต้น และเราก็อยากรู้ เพราะเหตุว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงอยาก แต่ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย

        เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเป็นเรื่องละความไม่รู้ เพราะรู้ขึ้น รู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ต้องตั้งตนไว้ชอบอย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าประโยชน์แท้จริงคือรู้จักตัวเองว่ามีกิเลสมากทุกวันทั้งวัน การฟังธรรมเพื่อละคลายกิเลสไม่ใช่เพื่อที่จะไปทำอย่างอื่นแล้วก็มีกิเลส และก็เต็มไปด้วยกิเลสที่อยากที่จะไปรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ว่าเริ่มจากความไม่รู้ว่าเป็นผู้ที่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นเริ่มฟัง และเห็นประโยชน์ว่า ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมเจ้า รู้จักพระคุณของพระองค์ ก็จะเริ่มเห็นประโยชน์ของการที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงที่เคยยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนาน ความจริงก็เป็นธรรมสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ถูกต้องหรือไม่ มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึกเรื่องราวต่างๆ เท่านั้นเอง เท่านั้นเองจริงๆ คือมี และก็ไม่มี และก็มี แล้วก็ไม่มี แล้วเป็นอย่างนี้มานานแล้ว และข้อสำคัญที่สุดคือจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไม่รู้จบ แต่ก็ไม่รู้ว่าจากโลกนี้ไปแล้วจะเป็นอะไร จะมีโอกาสได้รู้ความจริงหรือไม่ ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าสนใจที่จะเข้าใจพระธรรม ก็คือว่าต้องฟังด้วยความเคารพ ด้วยความละเอียด ด้วยความเป็นผู้ตรงว่า ที่ฟังอย่างนี้เริ่มรู้เริ่มเข้าใจขึ้นหรือไม่ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เพราะเหตุว่า ความหมายของธรรม ก็คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้


    หมายเลข 10520
    5 มี.ค. 2567