แสวงหาอะไร
ขณะที่กำลังมีความติดข้องยึดถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขณะนั้นกำลังแสวงหากาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือแสวงหาภพคือความเป็นเรา หรือแสวงหา พรหมจรรย์คือหนทางผิดที่เข้าใจผิดว่าเป็นความประพฤติประเสริฐ ดังนั้นถ้าปัญญา ไม่เกิดขึ้นรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็คือแสวงหา
ประโยชน์อยู่ตรงที่ฟังแล้วเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้กำลังแสวงหา มิฉะนั้นก็ฟังเป็นเรื่องใช่ไหมคะ แสวงหามี ๓ อย่าง และก็เป็นธรรมดาเป็นปกติ และเดี๋ยวนี้กำลังแสวงหาหรือเปล่า แสวงหาคืออะไร ที่กล่าวว่าเดี๋ยวนี้กำลังแสวงหา เมื่อครู่นี้ก็เห็นคนพัด อากาศร้อน แสวงหาหรือเปล่า รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดเรื่องแสวงหา แต่ขณะนั้นกำลังแสวงหารูปที่น่าพอใจ คือรูปที่เย็นๆ สบายดี เพราะฉะนั้นจริงๆ ที่ปัญญาไม่เกิดขณะนั้นแสวงหา เพราะเหตุว่ามีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังแสวงหาอยู่ ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมจึงรู้ว่าชีวิตจริงๆ ทุกขณะเป็นการแสวงหาทั้งหมด แล้วแต่ว่าจะแสวงหาอะไร เมื่อไม่ใช่ปัญญา เมื่อไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ปกติธรรมดาเมื่อแสวงหากามเพราะว่าขณะนั้นมีภพ มีความเป็น ที่ต้องการสิ่งนั้น ถ้าไม่มีความเป็น จะต้องการอะไร แต่เพราะเหตุว่าเป็น เกิดมาแล้วก็เป็น เป็นอะไร ก็เป็นที่เป็นนี่แหละ แต่ละคน ก็เป็นเราแต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่เข้าใจว่าที่จริง และไม่ใช่เราเลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปหมดไม่เหลือเลย ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็เป็นเราแสวงหาความเป็นเราต่อไปหรือเปล่า นี่คือแสวงหาภพ เพราะฉะนั้นตราบใดที่มีความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฎฐัพพะ ขณะนั้นเพราะมีความเป็นเรา และความเป็นเราขณะใดก็คือแสวงหาภพซึ่งเป็นเรา ต่อไปตายแล้วเราจะเป็นอะไร ก็แสวงหาภพใหม่ของเราต่อไป
เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่ไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง รู้ได้ว่าขณะนั้นกำลังแสวงหา ๒ อย่างแล้วคือ กาม กับ ภพ และขณะนี้กำลังฟังธรรมถ้ามีใครคิดว่า แล้วทำอย่างไรจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แสวงหาหรือเปล่า ไม่ใช่เป็นการเข้าใจพร้อมสติสัมปชัญญะซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยโดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่สัตว์โลกจะคิดเอง เข้าใจเอง ทำเอง หวังเอง ว่าจะรู้สภาพธรรม และจะหมดกิเลสได้ แต่ต้องรู้ว่าเป็นเรื่องของธรรมะจริงๆ เป็นเรื่องอนัตตาเป็นเรื่องของ เหตุปัจจัย
ไม่ต้องหวังอะไรเลยก็เกิดใช่ไหม เมื่อครู่นี้หวังจะได้ยินหรือเปล่า แต่ก็ได้ยิน หวังจะเห็นหรือเปล่า ไม่ต้องหวังเลย แต่ทุกอย่างเมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ตราบใดที่มีสิ่งซึ่งยังปรากฏเเล้วไม่เข้าใจ ขณะที่ไม่เข้าใจเป็นการแสวงหา แต่ขณะใดที่เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงขณะนั้นเริ่มเป็นมรรคเ ป็นหนทาง ที่รู้ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏโดยสภาพของสติสัมปชัญญะซึ่งเกิดโดยความเป็นอนัตตา เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงพอไม่ต้องไปนั่งคอยหาทาง ถามคนอื่น มีวิธีไหมที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิดที่จะให้รู้ลักษณะของสภาพธรรม นั่นคือแสวงหาพรมจรรย์ เพราะความไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ใครจะไปแสวงหาด้วยความเป็นตัวตน ตราบใดที่ยังเป็นตัวตนเป็นความไม่รู้ ขณะนั้นก็คือแสวงหาพรหมจรรย์
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ โดยความละเอียดยิ่ง และรู้ด้วยว่าขณะใดที่ไม่เข้าใจ นั่นคือแสวงหากาม แสวงหาภพ และบางกาลก็แสวงหาพรหมจรรย์ พอมีแข็งปรากฏ ได้ยินคำว่าสติระลึกรู้ลักษณะของแข็ง เริ่มจะมีสติลักษณะรู้แข็ง ถูกไหม เป็นอัตตา หรือว่าขณะนั้นกำลังมีความอยากหรือมีความต้องการ เพราะฉะนั้นขณะนี้แข็งก็ปรากฏ ขาดอะไร ขาดความเห็นถูกความเข้าใจถูกซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไปเเล้วก็ไม่กลับมาอีก ไม่เป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะว่าตามความเป็นจริงที่เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะกายะ การประชุมกันของสภาพธรรมหลากหลายมาก ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยนิมิตตรูปร่างสัณฐานที่ทำให้เกิดปัญญัตติ คือ รู้ได้โดยอาการของรูปสัณฐานนั้นว่า นี้เป็นดอกไม้ นั้นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะเป็นการฟังเพื่อเข้าใจโดยไม่ได้หวัง ไม่ได้รอ แต่รู้ว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ถ้ามีความเข้าใจขึ้นจากการฟัง และฟังต่อไปด้วยความเข้าใจขึ้น ก็จะถึงวันหนึ่งซึ่งสามารถที่จะกำลังเริ่มเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสิ่งที่มีจริง ซึ่งปรากฏเป็นปกติในชีวิตประจำไว้ เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ได้ยินก็ได้ยินเฉพาะเสียงที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เสียงอีก สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นหน้าที่ของธรรม ขณะนี้เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นไม่มีใครสักคนที่จะไปพยายามทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้ แต่ขณะนี้เองจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง และประกอบด้วยเจตสิก ซึ่งขณะนี้แต่ละเจตสิกซึ่งไม่ใช่ความจำ และความรู้สึกก็เป็นสังขารขันธ์กำลังปรุงแต่ง รู้ไหมว่าพรุ่งนี้เกิดจากอะไร คืนนี้จะฟังธรรมไหม ไม่มีเรา แต่มีสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งให้มีการได้ยินได้ฟังอีก
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าถ้ามีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้นจึงเข้าใจข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็คือสิ่งที่มีจริง แต่ละเอียดยิ่งที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะทรงแสดงถึงการแสวงหากาม แสวงหาภพ แสวงหาพรหมจรรย์ และมรรคคือหนทางที่จะดับกิเลส นี่ก็แสดงความต่างกันแล้ว
เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่ว่า เดี๋ยวนี้แสวงหาหรือเปล่า ถ้าขณะนี้ไม่ได้มีการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นั้นก็กำลังแสวงหา ไม่ต้องมานั่งคิดว่ากำลังแสวงหากาม หรือแสวงหาภพ หรือแสวงหาอะไร เพราะเหตุว่า แม้กำลังแสวงหาก็ยังไม่รู้ แล้วก็จะไปรู้เพียงชื่อต่างๆ ก็จะไม่มีประโยชน์ แต่มีชื่อเพื่อให้เข้าใจถูก ว่าการแสวงหานั้นต่างกัน และคืออะไร และเมื่อไหร่ เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้