ห้วงน้ำและการแสวงหา
กิเลสเหมือนห้วงน้ำใหญ่ ซึ่งก็คือขณะนี้ที่เมื่อมีการเห็นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จึงอยู่ในห้วงของความติดข้องในกาม ความติดข้องในภพ ความเห็นผิดว่าเป็น ตัวตน และความไม่รู้ความจริง ซึ่งก็คือการแสวงหาด้วยความติดข้อง และความ เห็นผิดนั่นเอง
เรื่องของโอฆะอยู่ที่ไหน มีจริงหรือเปล่า ถ้าไม่มี พระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสไว้หรือไม่ แต่เราเองถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ใช่ไหมว่าอะไรเป็นโอฆะ ห้วงน้ำใหญ่ที่จากฝั่งหนึ่งคือฝั่งไม่รู้ ไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง คือฝั่งรู้ ห่างไกลกันมากหรือไม่ ฝั่งนี้ของมหาสมุทรกับฝั่งโน้น และฝั่งไม่รู้นี่ก็เพิ่มความไม่รู้ขึ้น แล้วก็จะถึงการที่จะไปสู่ฝั่งซึ่งไม่มีกิเลส หรือดับกิเลส ก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เป็นโอฆะหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเราก็ฟังเรื่องโอฆะ ห้วงน้ำ แล้วห้วงน้ำอะไร เป็นโอฆะอะไร กำลังเห็นขณะนี้ ไม่รู้ความจริงของเห็น ยึดถือว่าเราเห็นหรือเปล่า ตั้งแต่เกิดมากี่ภพกี่ชาติ เป็นทิฎโฐฆะ ความเห็นผิดซึ่งยึดถือสิ่งที่มี ที่ปรากฏ ว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา เราไม่สามารถจะรู้ได้ถึงการเกิดดับสืบต่อของจิต ซึ่งทรงแสดงไว้โดยละเอียดมาก ว่าจิตที่มีเจตสิกที่เป็นความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็มี ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็มี แล้วขณะไหน ไม่ใช่ให้เราไปพยายามหา พยายามไปไตร่ตรอง หรือคิด เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นก็ล่วงเลยไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความไม่รู้เหมือนโอฆะ ว่าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ และขณะที่ยึดถือว่าเป็นเรา ทิฎฐินี้ก็กว้างมาก ใหญ่มาก จะข้ามได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นที่จะอาจหาญร่าเริงที่จะรู้ความจริงก็คือรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่มีตัวตนที่จะไปแสวงหา แต่ความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจเกิดเมื่อไหร่ขณะนั้นไม่ใช่แสวงหา เพราะเหตุว่ากำลังเข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรมะที่มีจริงๆ
เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงโอฆะ เห็นนี่แหละ และก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แล้วก็เกิดดับ เพราะฉะนั้นนี่คือ ทิฎโฐฆะ อวิชโชฆะ ถ้ายินดีพอใจก็เป็นกามโอฆะ และยังติดข้องในความเป็นก็คือภโวฆะ
เพราะฉะนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีนะคะ กำลังมี แต่ไม่สามารถจะรู้ได้เพราะว่าเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ และสิ่งที่เกิดสิ่งที่ดับไปแล้วไม่ต้องไปคำนึงถึงเลยค่ะ เสียเวลา จะรู้ได้อย่างไรไปนั่งคิดถึงสิ่งที่หมดไปแล้ว หรือขณะนี้กำลังมีก็ไปนั่งคิดว่าเป็นอะไร แต่ก็ไม่รู้สิ่งที่กำลังเกิดดับในขณะนี้จริงๆ
ด้วยเหตุนี้การฟังต้องละเอียด และการละเอียดนั่นก็คือปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งขณะใดที่เป็นปัญญา ขณะนั้นไม่ได้แสวงหา เพราะเหตุว่ากำลังเข้าใจ เพราะฉะนั้น มรรคมีองค์ ๘ เริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เพียงตัวหนังสือ ไม่ใช่เป็นเพียงข้อความแล้วกล่าวว่านั่นเป็นพุทธพจน์ เป็นพุทธพจน์อย่างไร เพราะเหตุว่ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น เพราะพระพุทธพจน์ทุกคำเพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะน้้นกล่าวได้ไหมว่า เดี๋ยวนี้กำลังแสวงหา ด้วยความเข้าใจขึ้น และแสวงหาอะไร ก็สามารถที่จะรู้ได้ แสวงหากามนี่แน่นอน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แสวงหาภพนี่แน่นอน ตราบใดที่ยังเป็นเรา ใครอยากตายบ้าง ไม่ต้องพูดถึงเกิดว่าไม่อยากเกิด เพียงแต่ว่าใครอยากตายบ้าง ไม่อยากตาย แสดงถึงการแสวงหาภพ จะอายุยืนสักหมื่นปี แต่บางคนก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์เลย หมื่นปีทำอะไรได้ แค่ ๘๐ ๙๐ นี่ก็คงจะแย่แล้วใช่ไหมคะ แล้วจะไปหมื่นปีแล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นความจริงต้องเป็นความจริง แล้วก็รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงความตายเหมือนย้ายบ้านจริงๆ ค่ะ ย้ายที่อยู่ เห็นที่นี่แล้วไปเห็นที่อื่น ต่างกันตรงไหน ต่างกันที่เราคิดถึงสถานที่ว่าเราไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกต่อไป แต่เหมือนกันเลย เห็นตรงไหน บนสวรรค์ ในนรก ที่ไหนๆ เห็น ก็เป็นเห็น
เพราะฉะนั้นก็จากตรงนี้ก็ไปตรงโน้นตามเหตุตามปัจจัย ว่าไปไหน ในลักษณะอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจความจริงว่าไม่มีใครพ้นความจริง ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความจริง เพราะฉะนั้นเข้าใจความจริงจะเดือดร้อนหรือไม่ อย่างไรก็ต้องเห็น ไม่ต้องห่วง อย่างไรก็ต้องได้ยิน อย่างไรก็ต้องมีสิ่งที่พอเห็นแล้วติดข้องพอใจทันที ไม่ว่าอะไรปรากฏเพราะว่าก่อนที่จะติดข้อง สิ่งนั้นยังไม่ปรากฏให้ติดข้อง และจะไปกล่าวว่าติดข้องในสิ่งนั้นได้อย่างไร แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ โลภะที่สะสมมาในจิตไม่ว่าจะอยู่ในที่ไหน รูปร่างอย่างไร จะเป็นนก จะเป็นไก่ เป็นปลา เป็นปู เป็นเทพ เป็นมนุษย์ หรืออะไร โลภะนั่นแหละมีอยู่ ไม่ได้หมดไปเลย เพราะฉะนั้นโลภะนั้นก็ติดข้องทันทีในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าบ้านไหน คือชาติไหน อยู่ไหน พบใคร ที่ไหน โลภะก็เกิดขึ้น ทำกิจของโลภะ แสวงหากามหรือเปล่า แสวงหาภพหรือเปล่า แสวงหาพรมหมจรรย์หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่ตามตัวหนังสือ และพยายามที่จะค้นคิดว่าคำนี้หมายความว่าอย่างไร เมื่อใด แต่ฟังแล้วก็เข้าใจว่าขณะนี้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วแต่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยยะของโอฆะ หรือทรงแสดงโดยนัยยะของการแสวงหา ก็คือความไม่รู้ ซึ่งตราบใดที่ยังมีอยู่ก็เป็นฝั่งหนึ่งที่ยากที่จะข้ามไปสู่ฝั่งที่ดับกิเลสได้ แต่ก็เป็นไปได้จากการที่ละด้วยความเข้าใจ เพราะปัญญาไม่ได้ทำหน้าที่ติดข้องเลย ถ้าเข้าใจจริงๆ จะละไหม ร่างกายนี้นะคะ ติดข้องมากเลย ถ้าเพียงจิตไม่เกิดเป็นเราหรือเปล่า เป็นของเราหรือเปล่า ทำอะไรได้หรือเปล่า ขายได้ไหม หมู ไก่ เป็ด ยังขายได้ ใช่ไหม แต่ว่าร่างกายนี้ใครจะซื้อ ให้ก็ยังไม่เอา ไม่ต้องซื้อค่ะ
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นจริงๆ ว่า กว่าจะรู้อย่างนี้ กว่าจะเข้าใจอย่างนี้ ต้องอาศัยพระธรรมที่ได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าแท้ที่จริงแล้ว ความหลงมากกว่านั้นอีกมาก เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ยั่งยืน เป็นถ้วยแก้ว เป็นแจกัน เป็นขนม เป็นอะไรๆ ก็ล้วนแต่ว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นรูปที่มีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไปแล้วไม่กลับไปอีกหนึ่ง ความจริงนี้รู้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้พระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระองค์ก็คือทุกคำที่เรามีโอกาสได้ยินได้ฟัง และจากการที่ไม่เคยเข้าใจว่าสภาพธรรมะจริงๆ เป็นอย่างนี้ ให้เพียงอย่างหนึ่งปรากฏให้เห็นว่าเป็นหนึ่งจริงๆ เพราะความจริงต้องเป็นอย่างนั้น จิตต้องเกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะจะไปรู้อย่างอื่นพร้อมๆ กันทีเดียวไม่ได้ จิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นรู้เพียงหนึ่ง สิ่งนั้นยังไม่เป็นอะไรเลย แสดงให้เห็นถึงการเกิดดับของจิตรวดเร็วจนกระทั่งสิ่งที่ปรากฏลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ได้ดับ ยั่งยืน ด้วยรูปร่างสัณฐานต่างๆ โลภะเกิดแล้ว ห้ามไม่ได้เพราะเป็นธรรม แต่การฟังธรรมก็มีความเข้าใจขึ้นว่า ไม่ใช่เรา
เมื่อไหร่ ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับทันที ให้เห็น ยังติดข้องไหม นั่นจึงจะเป็นหนทางที่จะค่อยๆ คลายการยึดถือว่าเป็นเรา จนกว่าโลกกุตรจิตจะเกิดเมื่อไร ก็ดับการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรา ว่าเที่ยง ว่างาม ว่าเป็นอัตตา ไม่เกิดอีกเลย