เป็นตัวตนมาแสนนาน


        สะสมความเป็นตัวตนมานานมาก แม้เพียงการเห็นว่าเป็นดอกไม้สักดอกหนี่ง ก็เป็นตัวตนแล้ว ดังนั้นกว่าจะละคลายความเป็นตัวตนได้ก็ต้องอาศัยความ อดทนที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ในความเป็นธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน

        เป็นตัวตนมาแสนนาน

        ท่านอาจารย์ นี่อะไรคะ นี่คือดอกไม้ใช่ไหม

        ผู้ฟัง ครับผม

        ท่านอาจารย์ เป็นอัตตาแล้วค่ะ

        ผู้ฟัง ยังไม่เห็นอัตตานะครับ

        ท่านอาจารย์ ดอกไม้นี่แหละ อัตตา ถ้าอัตตา คือเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างนี้เป็นคน อย่างนี้เป็นอะไร เป็นดอกไม้ ต่างกันไหม แค่เห็นเป็นแล้ว ใช่ไหมคะ รูปร่างสัณฐานนี้เป็นดอกไม้ รูปร่างสัณฐานอย่างนี้เป็นคน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของอัตตามานานเท่าไร เพราะไม่รู้ความจริง แม้แต่คำว่าอัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าตรงนี้เป็นสักกายะ ของเรา แต่นี่ของเราหรือเปล่า หรือตัวเราหรือเปล่า ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่อนัตตาใช่ไหม แต่ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้องทั้งหมดเป็นอนัตตา เพราะเริ่มเข้าใจว่า นี่เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เหมือนกัน นี่ก็เห็นได้ นี่ก็เห็นได้ นี่ก็เห็นได้ ทุกอย่างเห็นได้ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เหมือนกันหมด เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ อายุ ๑๗ ขณะจิตเท่ากันหมดเลย รูปที่มีจริงนะคะ แล้ว ๑๗ ขณะจิตเร็วแค่ไหน ระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน จิตเกิดดับเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปที่ปรากฏให้เห็น จิตเห็นจริงๆ เห็นหนึ่งขณะ แต่เหมือนกับว่ามีแต่เห็น ไม่มีจิตอื่นเกิดคั่นกับการที่รู้ว่านี่เป็นดอกไม้ นี่คือการเปรียบเทียบให้เห็นความเร็วอย่างยิ่งของการเกิดดับ เพราะต้องมีการเกิดดับมากมายหลายวาระเท่าไร กว่าที่จะรู้ว่า นี่สีอะไร กลีบอย่างไร และก็เป็นดอกอะไร จำได้ทันที

        เพราะฉะนั้นจึงมีคำที่ตรัสไว้ว่าสภาพธรรมะเกิดปรากฏเสมือนพร้อมกับนิมิตตะ คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างสัณฐานเพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ของจิต และสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น เป็นอีกโลกหนึ่ง โลกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงที่ทรงแสดงธรรมแก่ชาวโลกเปรียบเหมือนใบไม้ ๒- ๓ใบในฝ่าพระหัตถ์ ฝ่ามือ แต่พระปัญญาคุณเหมือนใบไม้ในป่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมีค่ามหาศาลแค่ไหน จากการไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เกิดมาแล้วกี่ชาติ แสนโกฎกัป และก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ในเมื่อตราบใดที่ยังมีเหตุที่จะต้องให้เกิดก็ต้องเกิด เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เกิดแล้วก็ตาย ชาตินี้เป็นอย่างไร สุขมากเท่าไหร่ เป็นนักเรียน นักศึกษา เล่นกีฬา ทำอะไร ไปเที่ยวเพลิดเพลิน เหลืออะไร เหมือนชาติก่อน ชาติก่อนนี้อายุสั้น อายุยืนมากน้อยเท่าไร ประสบเหตุการณ์สนุกสนาน เดือดร้อนมากเท่าไร จำไม่ได้เลย หมดแล้วดับแล้วไม่ได้กลับมาอีกแล้ว

        เพราะฉะนั้น ชาตินี้คือชาติก่อนของชาติหน้า และแน่นอนที่สุดทุกอย่างที่มีในชาตินี้ก็หมดไม่เหลือ แล้วก็เปลี่ยนใหม่หมดเลย เหมือนย้ายบ้าน บ้านใหม่ ถนนใหม่ สิ่งของในบ้านใหม่ ทุกอย่างใหม่ แต่ว่าใหม่กว่าบ้านใหม่ เพราะบ้านใหม่ก็ยังเป็นบ้านในโลกนี้ที่ยังจำได้ใช่ไหม แต่ถ้าเกิดอีกภพหนึ่งภูมิหนึ่งก็จะไม่เหลือความจำในชาติก่อนเลยทั้งสิ้น เพียงแค่เห็น ได้ยิน สนุกสนาน สุขทุกข์ เดือดร้อน ขวนขวายไปวันๆ หนึ่ง แล้วก็ลืมหมด จำไม่ได้เลย นี่คืออัตตา ยังเป็นเรา ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริง

        เพราะฉะนั้นเข้าใจได้ไหมถึงปัญญาที่กว่าจะได้ยินได้ฟัง กว่าจะค่อยๆ เข้าใจ กว่าจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนกระทั่งสิ่งที่ได้ยินได้ฟังขณะนี้เป็นจริงอย่างที่ได้ฟังทุกอย่าง คือสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่เกิดสิ่งนั้นดับ แต่ปรากฏเสมือนพร้อมกันกับนิมิตที่ชาวโลกเห็น และก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

        นี่คือการที่จะแสดงให้เห็นว่าการศึกษาธรรมเป็นโอกาสที่ได้สะสมบุญ ที่จะเห็นประโยชน์ว่าปัญญาประเสริฐสุดของการเกิดมาด้วย เพราะเหตุว่าทรัพย์สินเงินทองก็ติดตามไปไม่ได้ ร่างกายนี้ของเราหรือ ถ้าไม่มีจิตเกิดเป็นอย่างไร ทำอะไรได้ไหม พูดได้ไหม เดินได้ไหม ทำอะไรก็ไม่ได้เลย หวงแหนรักใคร่มากมาย ทะนุบำรุงรักษาอย่างดี แล้วเวลาที่ไม่มีจิตเกิด ขายก็ไม่ได้ เป็ดไก่ยังขายได้ แต่ร่างกายมนุษย์ไม่มีใครที่จะต้องการเลยทั้งสิ้น แต่เดี๋ยวนี้เป็นของเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็คิดดูว่าจะหมดความติดข้องเพราะรู้ความจริงว่าเป็นอนัตตา ไม่มีเรา ทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง มีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว

        เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่คิดเอง หรือเอาความคิดของเรามา เมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้ ไปนั่งอบรม ไปนั่งปฏิบัติ ไปนั่งทำอะไร แต่ไม่ได้เข้าใจ เพราะเหตุว่าไม่ได้อาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นพระธรรมแต่ละคำเป็นคำจริง เมื่อเข้าใจก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น กว่าจะคลายการยึดถือการที่ไม่เคยรู้ว่าไม่ใช่เราในขั้นของการฟังก็ยังยาก และละเอียดมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปถึงขั้นจะไปปฏิบัติอะไรเพื่อที่จะให้รู้ความจริง เพราะตราบใดที่ปัญญาขั้นฟังยังไม่พอ ยังไม่เป็นสัจจะญาณที่มั่นคงจริงๆ ในวาจาสัจจะ ตราบนั้นจะไม่มีปัจจัยที่สามารถจะทำให้เข้าถึงการเริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงตรงที่ได้ฟัง

        เพราะฉะนั้นก็อดทนต่อไป เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา แต่ขณะนี้เป็นสภาพธรรมทั้งหมด ความเพียร วิริยะเจตสิก ขันติ ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ลืม นี่อัตตา เป็นอะไรขึ้นมานั่นก็คืออัตตา เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นอัตตา นี้ก็เป็นอัตตา แต่ตรงนี้สำหรับคนที่ยึดถือก็เป็นสักกาย ของเรา เพราะฉะนั้นจะมีคำว่าอัตตานุทิฐิ และสักกายทิฐิ เหมือนกัน เพียงแต่ว่าสักกายยึดถือว่าเป็นเรา


    หมายเลข 10526
    11 ก.พ. 2567