นิมิตของสภาพธรรม
การเกิดดับสืบต่อของรูปธรรมนามธรรมอย่างรวดเร็วมากมายหลายขณะ ทำให้ เป็นนิมิต ได้แก่ รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต ปรากฏให้รู้ได้ ดังนั้นที่มีความยึดถือสิ่งต่างๆ มากมายในชีวิต แท้จริงก็คือนิมิต จากการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมนั่นเอง
เดี๋ยวนี้ มีนิมิตขณะนี้ ฟังแล้วรู้เลย มีแน่ๆ ทางตาก็มีนิมิตเกิดดับเร็ว สิ่งที่ปรากฏก็เกิดดับจนปรากฏเป็นรูปร่างสันฐาน แม้แต่แต่ละคำที่ได้ยินเสียงก็ไม่ใช่การที่เข้าใจแต่ละคำของเสียง แต่ละภาษาด้วย ก็เสียงนั้นแหละแต่ว่าพูดเสียงเดียวกัน แต่ว่าอาจจะมีความหมายต่างกันในแต่ละภาษาได้ เพราะฉะนั้น เสียงแต่ละเสียง ความคิดถึงเสียงสูงต่ำ และจำได้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นทันทีได้ยินก็เหมือนได้ยินคำซึ่งเป็นนิมิตของเสียง
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมด รูปเกิดดับก็เห็นเป็นดอกไม้ เป็นอะไร จึงบอกว่าเสาก็ไม่เคยดับไปเลย ก็จริง สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแต่ไม่รู้ ก็ยังเห็นนิมิต แล้วก็จำได้ เพราะฉะนั้นก็จะไม่รู้ว่า แท้ที่จริง สิ่งที่เกิดดับไม่ใช่เสา แต่นิมิตของสิ่งที่เกิดดับทำให้จำ และคิดว่าเป็นเสา
เพราะฉะนั้น นิมิตทั้งหมดจะเกิดดับหรือ ในเมื่อไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง เป็นเพียงการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วต้องไปท่องไหม ไม่ต้องท่องเลย รูปที่ปรากฏทางตาเป็นนิมิต ความรู้สึกก็เป็นนิมิต เพราะเพียงแค่หนึ่งขณะแล้วดับไม่ปรากฏก็จะไม่รู้ว่าขณะนั้น เป็นลักษณะของสภาพธรรมะที่เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเฉยๆ
สัญญาขณะนี้คืออะไร ถ้าพูดแล้วไม่ทำให้เข้าใจก็อย่าพูดดีกว่า ใช่ไหม แต่ได้ยินคำว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขณะนี้รู้ความหมายของรูป ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่เกิด มองเห็นหรือมองไม่เห็น แต่สภาพนั้นมีจริง เกิดขึ้นดับไป แต่ไม่รู้อะไร ก็เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม เมื่อมีรูปแล้ว และก็เห็นรูป พอใจในรูป สุขทุกข์ในรูปต่างๆ เหล่านี้ ความรู้สึกก็ไม่เที่ยง เมื่อวานนี้สุข วันนี้ทุกข์ได้ อย่างบางคนกำลังสุขอยู่จริงๆ ได้ข่าวร้ายเรื่องญาติ เรื่องความป่วยไข้ เรื่องความตาย ทุกข์เกิดขึ้นได้ สุขเมื่อครู่นี้ก็หายไปแล้ว แต่สุขเมื่อครู่นี้ก็เกิดสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิตของความสุข ความทุกข์ก็เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิตของความทุกข์ เพราะฉะนั้นความรู้สึกซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าเวทนาได้แก่ความรู้สึกเฉยๆ ความรู้สึกดีใจ ความรู้สึกเสียใจ เเละความรู้สึกสุขกาย ทุกข์กายมีจริงๆ ทั้งหมดเกิดดับสืบต่อ แสดงให้เห็นว่าขณะใดที่รู้สึก ขณะนั้นเป็นนิมิตของสภาพความรู้สึกซึ่งเกิดดับสืบต่อจนปรากฏให้รู้ได้ ไม่มีใครไม่เข้าใจนะคะ รูปนิมิต รูปะนิมิตะ เวทนานิมิต
สัญญาในภาษาบาลีหมายความถึงสภาพที่จำ คนไทยใช้คำว่าจำ ไม่ต้องใช้คำว่าสัญญา ใช้คำว่าจำนี่แหละ ถ้าใช้คำว่าสัญญาก็เลยไปคิดถึงข้อตกลงต่างๆ ที่คนใช้ใช้ แต่ว่าจริงๆ แล้วสัญญาเป็นภาษาบาลี หมายความถึงความจำ เดี๋ยวนี้ก็มีใช่ไหม มี แต่ไม่ใช่จิต เป็นสภาพธรรมะที่เป็นธาตุรู้ที่เกิดกับจิตอยู่ในจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต เพราะจิตเป็นสภาพรู้สัญญาก็รู้ แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน
เพราะฉะนั้นขณะนี้สัญญาเป็นสภาพจำ ทันทีที่เห็นอะไร เจตสิกที่เกิดกับจิตทำหน้าที่จำ จำได้ไหมคะ ใครอยู่ที่นี่ นั่นแหละ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุหรือธรรมะที่เกิดกับจิต แล้วก็จะมีหน้าที่อย่างเดียว คือจำ เกิดแล้วจำ จำจนกระทั่งรู้ว่าจำ เพราะสัญญาเกิดดับเป็นสัญญานิมิต กล่าวถึง ๓ ขันธ์แล้ว คือ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร ได้แก่เจตสิกทั้งหมดซึ่งไม่ใช่เวทนา และ สัญญา เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท เป็นเวทนาเจตสิก๑ คือ ความรู้สึก ไม่ใช่จิต เป็นเจตสิก ความจำก็ไม่ใช่จิต และเจตสิตที่เหลืออีก๕๐ เป็นสังขารขันธ์ เป็นนิมิตด้วย คือทั้งหมดที่เกิดดับเป็นนิมิตทั้งหมด เพราะความเร็วของการเกิดดับ เพราะฉะนั้น โกรธมีจริงไหม เป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ แต่ไม่ใช่จิต ก็ต้องเป็นเจตสิก เวลาโกรธรู้ใช่ไหมว่าโกรธ เพราะโกรธเกิดดับหลายขณะจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตให้รู้ถึงความขุ่นใจ ความไม่สบายใจ ไม่ใช่เราเลย เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้ารู้อย่างนี้บ่อยๆ เข้า โลกนี้ก็ว่างเปล่าจากการที่เคยเป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะหลงยึดถือในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วอยากได้ แล้วติดข้อง หลงยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็อยากจะให้เรามีแต่ความสุข ไม่ให้มีความทุกข์ใดๆ เลยทั้งสิ้น อยากจะได้ทรัพย์สินเงินทองลาภ ยศ สรรเสริญ เพื่อความเป็นเรา ซึ่งความจริงสภาพธรรมทั้งหมดเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลือเลย ชาติก่อนหมดแล้ว ไม่เหลือเลย เมื่อวานนี้หมดไม่เหลือเลย วันนี้ถึงเวลาหลับสนิทก็หมดไม่เหลือเลย ตื่นขึ้นอีกก็เหมือนวันนี้ ตื่นแล้วก็หลับ แล้วก็ตื่น แล้วก็หลับ ระหว่างหลับก็ไม่มีอะไรปรากฏเลย หายไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือจริงๆ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่มีหมด แต่พอตื่น จำได้อีกแล้ว กลับมาอีกแล้ว เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทำกิจเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง แล้วก็คิดนึกแต่เรื่องของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้คิดเรื่องอื่น คิดแต่เรื่องของรูปบ้าง เสียงบ้าง เรื่องราวต่างๆ กลิ่นบ้าง รสบ้าง กระทบสัมผัสบ้าง ป่วยไข้ โรคอะไร ไปหาหมอหรือยังฉีดยาหรือยัง กินยาหรือยัง ก็เรื่องของกาย ซึ่งเป็นทุกข์ ก็วนอยู่นั่นแหละจนกว่าจะจากโลกนี้ไป ก็ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วต่อไปไม่เกิดไม่ได้เลย ยังมีกิเลสซึ่งเป็นเหตุยังไม่ใช่พระอรหันต์ตราบใดก็ต้องเกิด ตราบนั้น เมื่อเกิดแล้ว การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว ก็ปรากฏเป็นรูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต และสุดท้ายคือวิญญาณนิมิต
วิญญาณเป็นอีกคำหนึ่งของจิต เพราะฉะนั้นจิตจะมีหลายชื่อ เช่นเห็นขณะนี้ต้องอาศัยตาเป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นเห็น จึงใช้คำว่าจักขุวิญญาณะ คนไทยก็เรียกสั้นๆ ว่าจักขุวิญญาณ ไม่มีใครรู้จักแน่ ไปถามเด็กว่าจักขุวิญญาณคืออะไร แต่ถามเด็กว่าเห็นไหม เด็กบอกว่าเห็น เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมไม่ต้องไปคำนึงถึงคำในภาษาบาลีเลย เพราะว่าถ้าคำนึงถึงไม่ได้รู้สภาพธรรมะเลยแต่ถ้าบอกว่าเห็น เราไม่ต้องไปติดที่คำไหนเลย เวลากล่าวถึงเห็น ก็รู้ เห็นขณะนี้ต้องเกิด เกิดแล้วดับไป กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราเห็น อีกนานไหมกว่าจะละคลายความติดข้องในสิ่งซึ่งเกิดดับ ซึ่งหลงยึดถือด้วยความสุข และความทุกข์ แต่ละชาติมากมายมหาศาล ยากที่จะไถ่ถอนละคลายได้ จนกว่าปัญญาที่เกิดจากการฟังรู้ตามในฐานะสาวกผู้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจความจริง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นคำว่านิมิตก็คงชัดเจนแล้วใช่ไหม