เลือกไม่ได้


        ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงไม่ใช่เราที่จะเลือกอะไรด้วยความเป็นตัวตน แต่เป็นการสะสมมาที่จะมีจิต เจตสิก ที่จะเป็นไปอย่างนั้นๆ


        เกิดมาในโลก จะเป็นคนนี่ เลือกเกิดหรือเปล่า เลือกไม่ได้เลย เกิดใหม่แล้วเลือกที่จะให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้อีก เลือกตายได้ไหมคะ จะตายวันนั้น วันนี้ ขอให้หลับตาย ไม่ต้องป่วยไข้เจ็บมากๆ ไปโรงพยาบาล โอดครวญ ร้องห่มร้องไห้ ก็เลือกไม่ได้เลยสักอย่าง ไม่รู้ว่าขณะต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น นั่นจึงจะเข้าใจความหมายของธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วก็มีปัจจัยเกิด ห้ามไม่เกิดไม่ได้ ตราบใดที่มีเหตุที่จะให้เกิด ค่อยเบาใจนะคะ ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย กว่าจะจากเราเลือก เป็นธรรมะที่เกิดขึ้นเลือก ฉันทะเจตสิกไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย ทรงแสดงธรรมะโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง แม้แต่จิตหนึ่งขณะ มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่เราที่เลือก ทำไมคนนี้เลือกสีแดง ทำไมคนนั้นเลือกสีเขียว เป็นคนเลือก หรือว่าเป็นการสะสมมาที่พอใจในสิ่งนั้น ทำให้เกิดการที่จะต้องการสิ่งนั้นแต่ละหนึ่ง

        คือการฟังธรรมะ จะข้ามผ่านไปเป็นเรื่องใหญ่เรื่องยาวไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจแต่ละคำ แต่ละอย่าง เช่น แม้แต่การเลือก เราเลือก หรือว่าสะสมมาที่จะพอใจที่จะต้องการสิ่งนั้น อย่างการทำกุศลก็มีหลายอย่างใช่ไหมคะ การศึกษาธรรมะให้เข้าใจ เป็นกุศลแน่นอน เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจต้องเป็นอกุศล กุศลในการที่จะช่วยเหลือเด็กนักเรียน กุศลในการที่จะช่วยคนชรา คนยากไร้ แล้วแต่ขณะนั้นใครเลือก ต่างคนต่างทำตามการสะสม ซึ่งทั้งหมดเป็นธรรม

        ถ้าสงสัยอะไรก็ศึกษาธรรมแล้วก็จะได้ความกระจ่างว่าไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เป็นธรรมะ ที่เป็นจิต หรือ เป็นธรรมะที่เป็นเจตสิกแต่ละหนึ่งๆ จนกว่าจะมีความมั่นคงว่า นี่คือสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ แต่คนอื่นฟังได้ และก็ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังด้วยความหวังว่าเราจะเป็นอย่างนั้น หรือจะทำอย่างนี้ ซึ่งขณะนั้นก็โลภะความติดข้องไม่ใช่ปัญญา ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา ต้องฟังให้เข้าใจก่อน ถึงจะรู้ว่าแม้เลือกขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นการสะสมมา แม้ได้ยินคำว่า ธรรม ได้ยินคำว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ลึกลงไปถึงจิตที่จะมั่นคง แม้แต่การที่มือจะเอื้อมไป เพราะอะไร ทำไมไปหยิบขนม แทนที่จะหยิบผลไม้ เห็นไหมคะ ก็มีปัจจัยทั้งนั้นที่สะสมมา เลือกเกิดได้ไหม เลือกที่วันนี้จะไม่เจ็บ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ได้ไหม ต้องตรงๆ แค่นี้ยังไม่คิด และไปคิดเรื่องอื่น แล้วจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ให้รู้ ให้เข้าใจได้ ก็ไม่เข้าใจ

        ก่อนฟังพระธรรม เราเลือก พอฟังพระธรรมแล้วอนัตตา แค่นี้พอมั้ย พอได้ยินคำว่า อนัตตา ก็ศักดิ์สิทธิ์ไปเลย หรือว่าแล้วเป็นอย่างไรล่ะ อนัตตาอะไร ก็ต้องต่อไปอีก ไม่ใช่เผินๆ ว่าตอบคำเดียวอนัตตาๆ ๆ และอะไรล่ะ เห็นอนัตตา หรือได้ยินอนัตตาใช่ไหม ต้องมีความละเอียดลึกซึ้งไปเรื่อยๆ ถึงจะมั่นคงว่าอนัตตา คือสามารถจะเข้าใจในความเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่าอนัตตา คนที่พูดอนัตตาแล้วโกรธได้ใช่มั้ย หรือว่าเมื่อพูดอนัตตาแล้วโกรธไม่ได้ ทั้งๆ ที่พูดคำว่าอนัตตาก็โกรธ แต่ว่าความเข้าใจอนัตตา ในขณะนั้นมีหรือไม่ว่าแม้ลักษณะที่โกรธก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่พูดว่าอนัตตา แล้วพอโกรธ ขณะนั่นแหละเป็นความเข้าใจอนัตตาหรือ พูดได้ แต่ความเข้าใจแค่ไหน พูดคำว่าอนัตตาแล้วเข้าใจอนัตตา อะไรบ้าง กำลังเห็นขณะนี้ เข้าใจว่าเป็นอนัตตาแค่ไหน ได้ยินเข้าใจว่าเป็นอนัตตาแค่ไหน กำลังโกรธเป็นอนัตตาแค่ไหน หรือว่าพูดคำว่าอนัตตา แต่เวลาโกรธไม่ได้เข้าใจลักษณะที่โกรธว่าไม่ใช่เรา

        เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแค่พูดนะคะ แต่ต้องเป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่าเข้าใจระดับไหน เลือกไม่ได้เลย ถ้ากำลังโกรธเพราะมีเหตุที่จะต้องโกรธ แต่ก็ฟังมาแล้วว่าเป็นอนัตตา ขึ้นอยู่กับปัจจัยในขณะนั้นว่ามีความเข้าใจมั่นคงพอที่สามารถที่จะรู้ลักษณะที่โกรธในขณะนั้นว่านี่แหละๆ อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีใครอยากโกรธ แต่ว่าโกรธเกิดขึ้นแล้ว และถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่มีใครสามารถที่จะไปฝืนตัวเอง แต่ขณะนั้นเริ่มเข้าใจในสภาพที่ไม่ใช่เรา ที่เป็นความโกรธ

        เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ไม่ใช่แค่พูด คำๆ นี้ได้ยินมานาน ชาติก่อนอาจจะเคยได้ยิน ชาติก่อนๆ โน้นก็คงจะได้ยิน พอถึงชาตินี้ก็ได้ยินอีก แต่เวลาเห็นเป็นอนัตตาหรือเปล่า ไม่ใช่เราจะไปบังคับให้มีความเข้าใจ "เห็น"เดี๋ยวนี้ พยายามให้เห็นว่าเป็นอนัตตา แล้วแต่ว่าสะสมมามีปัจจัยที่จะเกิด และก็เริ่มค่อยๆ รู้ในธาตุที่กำลังเห็น โดยที่ว่าไม่ใช่เราที่จะไปพยายามทำ ก็เป็นสิ่งซึ่งละเอียด และก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมว่าการพูดหรือการเข้าใจว่าอนัตตา ต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏ และขณะนั้น จะรู้ได้ว่าเข้าใจในความเป็นอนัตตาของสิ่งนั้นหรือเปล่า


    หมายเลข 10534
    2 ก.พ. 2567