โลกธรรม
ธรรมประจำโลกคือ ลาภ-เลื่อมลาภ ยศ-เสื่อมยศ สรรเสริฐ-นินทา สุข-ทุกข์ เป็นโลกธรรมคือสภาพที่เกิดขึ้น และดับไป
กิเลสเป็นโลกไหม ธรรมะทั้งหลายเป็นโลกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็เป็นไปตามโลกธรรมหรือเปล่า ทั้งหมดเลย ลาภเป็นโลกธรรมหรือเปล่า ยศเป็นโลกธรรมหรือเปล่า ผู้ที่ไม่รู้จะติดข้องไหม เพราะฉะนั้นลาภ เสื่อมลาภ ยศเสื่อมยศ เกิดหรือเปล่า ดับหรือเปล่า เป็นโลกหรือเป็นธรรมหรือเปล่า ทั้งหมดเป็นธรรมหรือเปล่า และธรรมที่เกิดดับเป็นโลกหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะพูดถึงโลกธรรมหรือว่าธรรมอื่นเกิดขึ้นแล้วดับหรือเปล่า หรือไม่มี ถ้าเกิดขึ้นแล้วดับ เป็นโลกทั้งหมด เป็นธรรมที่เป็นโลกธรรม เมื่อเช้านี้สุขหรือไม่ เมื่อเช้านี้ทุกข์หรือเปล่า โลกธรรมหรือเปล่า ถ้าจะพูดถึงได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา และ สุข ทุกข์ ชีวิตประจำวันหรือเปล่า หรือว่า นานๆ จะมีลาภสักครั้งหนึ่ง นานๆ จะสุขสักครั้งหนึ่ง นานๆ จะทุกข์สักครั้งหนึ่ง ก็ไม่ใช่ใช่ไหมคะ แต่ทุกวัน เมื่อกี้นี้หรือเมื่อเช้านี้ สุขหรือเปล่า เป็นโลกธรรมหรือไม่ และจะเกิดขึ้นเป็นโลกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ ฝ่ายโลกคือธรรมะที่เกิดขึ้น และดับไป ไม่ว่าจะลาภยศสรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และก็ดับไปทั้งหมด ต้องเป็นปัญญาจริงๆ มิฉะนั้นจะแปดเปื้อนด้วยโลกธรรมหรือไม่ ทั้งวันตื่นมาก็โลกธรรม ปรารถนาสุข ไม่พอนะคะ คำชม แค่นี้โลกธรรมประจำวัน ส่วนลาภแน่นอนนะคะ มีบ้าง ไม่มีบ้าง ทุกวัน เงินหายบ้าง หรือว่าทำธุรกิจขาดทุนบ้างไหม หรือว่ากำลังจะทำอะไรสักอย่างก็สูญไป หายไป โดยไม่สมควรเลยบ้างไหม ก็เป็นชีวิตประจำวันทั้งหมดแม้แต่โลกธรรมก็เป็นธรรมประจำโลก ถ้าจะกล่าวถึงโอกาสโลกที่ไหนก็คือว่า มีสภาพธรรมที่เกิดดับ ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดดัล จะมีโลกไหม เพราะฉะนั้นไม่ว่าโลกใดๆ ทั้งหมดก็เป็นโลก ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงเป็นธรรมะที่เกิด จะกล่าวโดยนัยไหนก็ไม่พ้นจากธรรมที่มีจริง ทั้งโอกาสโลก ทั้งสังขารโลก ทั้งสัตว์โลก ฟังธรรมะก็ต้องรู้ว่าธรรมะคืออะไร และก็การเข้าใจธรรมแล้วก็จะสามารถเข้าใจข้อความในพระสูตรต่างๆ ในพระอภิธรรม ในพระวินัยตามกำลังของปัญญา ลืมแม้แต่คำว่ามี ต้องเกิดใช่ไหม ไม่เกิดจะมีไหม แค่นี้ก็ลืมแล้ว พอบอกมีลาภ ก็ต้องมีการเกิดขึ้น ไม่ใช่ไม่มี แล้วก็อยู่ดีๆ ก็มีลาภได้อย่างไร ทั้งหมดแม้แต่ทุกคำต้องชัดเจน ต้องละเอียด ต้องสอดคล้อง ต้องตรง และก็ต้องเป็นความเข้าใจถูกต้องขึ้น เพราะฉะนั้น กว่าที่ใครจะเข้าใจพระธรรมได้ แล้วก็รู้จริงๆ ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการฟัง ในการไตร่ตรอง ในการสอดคล้องของธรรม และกิเลสทั้งหลายที่สะสมมามากประมาณไม่ได้เลย จะค่อยๆ น้อยลง คลายลง จนกระทั่งดับได้อย่างไร แม้แต่แต่ละคำก็ประมาทไม่ได้เลย เพราะขณะนั้นเป็นปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ และมีแล้วด้วย แต่ไม่เคยรู้ และกำลังมีแล้วด้วย ก็ไม่รู้ และจะมีต่อไปก็ไม่รู้