ใส่บาตร
ผู้ฟัง หลายคนก็ไม่มีความเข้าใจเรื่องของการใส่บาตร
ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้เราพูดแล้วเรื่องนี้ ทั้งใส่ ทั้งบาตร ทุกคำ ทีละคำ
ผู้ฟัง มีความเข้าใจเรื่องใส่บาตรอย่างไร
ผู้ฟัง เข้าใจว่าเพื่ออุทิศบุญกุศลผ่านไปทางพระสงฆ์ เพื่อไปให้ผู้ที่ล่วงลับ ไม่ทราบเข้าใจผิดหรือถูกอย่างไร
ท่านอาจารย์ บุญ คืออะไร
ผู้ฟัง บุญ คือ สิ่งที่ดีงามที่เราสามารถส่งไปให้กับผู้ที่ล่วงลับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ส่งอะไร
ผู้ฟัง อาหาร น้ำ สิ่งที่พ่อแม่เราชอบ
ท่านอาจารย์ บุญ คืออาหารหรือ
ผู้ฟัง บุญ คือ สิ่งที่เราทำให้ แล้วเราสบายใจ
ท่านอาจารย์ ถ้าเราสบายใจ เราพอใจ เป็นบุญหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นบุญ
ท่านอาจารย์ เราพอใจ เราติดข้อง เราชอบ
ผู้ฟัง เราพอใจกับสิ่งที่เราทำ เรามีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทำ
ท่านอาจารย์ เราพอใจ เรามีความสุข เราติดข้อง เป็นบุญหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นบุญ เพราะเรามีความสุข
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น เวลาสุขเมื่อไรก็เป็นบุญหรือ
ผู้ฟัง ถ้าเรามีความสุข โดยเราไม่เบียดเบียนคนอื่น หรือเราได้ทำให้คนอื่นได้รับในสิ่งที่มีความสุข ก็จะถือว่าเราเป็นบุญ
ท่านอาจารย์ เรารักคุณพ่อคุณแม่ รักลูก รักเพื่อนฝูง แล้วเราทำให้เขาสนุกมีความสุข ขณะไหนเป็นบุญ ชวนเขามาดูหนังดูละครเป็นบุญหรือไม่ ชวนให้ทุกคนมีความสุข
ผู้ฟัง ก็ถือว่าเป็นบุญสำหรับเรา ถ้าเขามีความสุขกับสิ่งนั้น เราก็มีความสุขด้วย
ท่านอาจารย์ ก็เรายังไม่รู้จักบุญ ถึงต้องศึกษาทีละคำ
ผู้ฟัง ขอเรียนถามอาจารย์เพื่อความกระจ่าง
ท่านอาจารย์ บุญ คือสิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์ ไม่ทำร้าย ไม่ทำลาย ไม่อันตราย ไม่ให้โทษ ต้องศึกษาทีละคำ
ผู้ฟัง ศึกษาเริ่มจากตรงไหน
ท่านอาจารย์ เริ่มจากธรรม ไม่ใช่เรา ธรรมมีกุศล ก็เป็นธรรม อกุศลก็เป็นธรรม ขณะไหนเป็นกุศล ก็เป็นธรรมที่ดีงาม เป็นประโยชน์ ไม่ให้โทษ ไม่ทำให้เกิดผลที่เป็นโทษ ส่งบุญให้ใครได้หรือไม่
ผู้ฟัง ตามความเชื่อ แม่ และยายบอกว่าได้
ท่านอาจารย์ ส่งอย่างไร
ผู้ฟัง ใส่บาตร
ท่านอาจารย์ ให้ใคร
ผู้ฟัง ให้ผู้ที่ล่วงลับ
ท่านอาจารย์ ผู้ที่ล่วงลับอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง เข้าใจว่าอยู่อีกภพหนึ่ง
ท่านอาจารย์ และยังคงเป็นเขา หรือว่าเป็นคนที่ไม่ใช่คนเก่า
ผู้ฟัง ตามความเชื่อ น่าจะเป็นคนเก่า เช่น พ่อของเราผู้ล่วงลับ
ท่านอาจารย์ ก่อนชาตินี้ มีเราหรือไม่
ผู้ฟัง มีความเชื่อว่าต้องมีเราชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า
ท่านอาจารย์ ชาตินี้เราเหมือนกับชาติก่อนหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่น่าจะเหมือน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ค้านกับเมื่อสักครู่ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นธรรมต้องเป็นธรรม ต้องละเอียด อย่าเพิ่งไปคิดอะไรเอง ไม่มีประโยชน์เลยนอกจากฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจ ธรรมไม่ใช่สำหรับไปตัดสิน แต่ธรรมสำหรับเข้าใจ และปัญญาที่เข้าใจก็จะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควร และไม่ควร ถูกหรือผิดปัญญานำไปในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในกุศลทั้งปวง แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาเข้าใจ ก็เข้าใจผิด บางคนก็คิดว่าอกุศลเป็นกุศล
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น การใส่บาตรทำบุญก็ไม่ถึงผู้ที่ล่วงลับอย่างนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ เขาอยู่ที่ใด
ผู้ฟัง เขาอยู่คนละภพภูมิกับเรา
ท่านอาจารย์ แล้วถ้าเขาไปเกิดเป็นอย่างอื่น เขาจะรู้จักเราหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่รู้จัก
ท่านอาจารย์ แล้วเขาจะรับอย่างไร
ผู้ฟัง ไม่ทราบ แต่ทำตามที่คุณแม่บอกว่าต้องทำเมื่อครบวันตาย ก็ทำโดยที่เราก็ไม่รู้ว่าได้รับ หรือไม่ได้รับ
ท่านอาจารย์ สิ่งอะไรก็ตามที่เราไม่รู้ เราฟังธรรมแล้วเราจะรู้ขึ้น เข้าใจขึ้น แล้วจะไม่ค้านกันเลย สอดคล้องกัน ได้หรือไม่ได้ บุญคืออะไร และอุทิศอย่างไร เราฟังธรรมเข้าใจ เป็นบุญหรือไม่ อุทิศได้หรือไม่
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ให้ใคร
ผู้ฟัง ให้ผู้ที่ล่วงลับ ผู้มีพระคุณ
ท่านอาจารย์ ผู้ที่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเขาไปเกิดเป็นไก่ เป็นนก แล้วจะรู้ได้ เกิดในนรกก็ไม่รู้ กำลังทุกข์ทรมานใช่หรือไม่ ต้องสำหรับผู้ที่สามารถรู้ได้ เป็นเทพก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถรู้ได้
เพราะฉะนั้น ที่จะกล่าวว่าถึงหรือไม่ถึงอยู่ที่ใคร ไม่ใช่ว่าเราส่งไปแล้วถึงหรือไม่ แต่เขาอนุโมทนาหรือเปล่า ยินดีด้วยในกุศลหรือเปล่า ถ้าเขาไม่ยินดีด้วยก็ไม่ใช่บุญ แล้วเขาจะได้รับอะไร ก็ไม่ได้รับอะไร ไม่ใช่บุญของเราจะไปให้คนอื่นได้ แต่การกระทำดีที่คนอื่นสามารถที่จะรู้ และอนุโมทนา ขณะอนุโมทนา เป็นบุญของเขา ไม่ใช่ว่าเราจะส่งไปให้ แต่เราทำความดีทุกอย่าง อุทิศส่วนกุศลได้ ต้องตรงมาก แล้วก็จะสามารถรู้จักพระพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่ตรงก็รู้จักแต่คนอื่น ซึ่งปิดบังพระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนตามที่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า ถ้าเห็นใครทำชั่ว เราอนุโมทนาหรือไม่ เราไม่พูดเฉพาะเจาะจงคนหนึ่ง คนใด ทั้งสิ้น แต่ธรรมเป็นธรรม ถ้าเห็นคนทำดี อนุโมทนาหรือไม่ เป็นแท็กซี่ เป็นเด็กนักเรียน เป็นใครที่ทำดี เราก็ดีใจด้วย อนุโมทนาคือ พลอยยินดีด้วยในการกระทำที่ดี
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หมายความว่าเราจะไปบังคับให้ใครอนุโมทนาหรือไม่ ถ้าภิกษุชั่ว เราทำบุญถวายทานอะไรก็ตาม และอุทิศส่วนกุศล เปรตไม่อนุโมทนา เพราะรู้ว่าไม่ใช่คนดี ไม่อนุโมทนาในคนไม่ดี เปรตถึงกับบอกว่าพระภิกษุผู้นั้น ปล้นทรัพย์ของเขา เพราะว่าเปรตไม่มีทรัพย์สมบัติเลย แต่ตราบใดที่กุศลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นผลของกุศลที่อนุโมทนา เขาจะได้รับสมบัติของเขาทันที มีเสื้อผ้า มีอะไรต่ออะไรทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ถ้าเขาอนุโมทนาไม่ได้ ก็เท่ากับคนนั้นปล้นสิ่งที่ควรจะเป็นของเขา คือทรัพย์ ต้องศึกษาตามลำดับ
เพราะฉะนั้น จะไม่มีการตอบเรื่องต่างๆ เพราะรู้ว่าตอบไปคนฟังก็พอใจเพียงแค่นิดเดียว แต่ไม่ได้เกิดปัญญาอะไร แล้วก็ไม่ยั่งยืน ไม่มั่นคง เดี๋ยวเขาก็สงสัยอีก ไม่เรื่องนั้น ก็เรื่องนี้