ลัทธิใหม่หรือ
ลัทธิใหม่ แสดงสิ่งที่ไม่ตรงตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มูลนิธิศึกษาฯ ไม่ได้ศึกษาเรื่องอื่นเลย ศึกษาแต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ไม่ได้เผยแพร่เรื่องอื่น เผยแพร่แต่ความจริงที่ได้ศึกษาแล้ว
อ.อรรณพ มีคนเขาบอกว่ากลุ่มมูลนิธิเป็นลัทธิใหม่
ท่านอาจารย์ ต้องถามเขาว่าลัทธิคืออะไร
อ.อรรณนพ นี่คือเท่าที่ฟังเขามา ก็ไม่ได้พูดคุยกับเขาโดยตรง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็พูดไปโดยไม่รู้ว่าพูดอะไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้เข้าใจพระธรรม คือพูดคำที่ไม่รู้จักตลอดชีวิต
อ.อรรณนพ คือเขาดูว่า เรื่องเกี่ยวกับพระภิกษุ เรื่องเกี่ยวกับเงินทอง แล้วก็ดูว่าจะเหมือนกับจะล้มล้างประเพณีในเมืองไทยเรา วัดวาอารามต่างๆ แล้วก็จะล้มล้างสำนักปฏิบัติ ก็เลยดูเหมือนเป็นแนวใหม่ เป็นลัทธิใหม่
ท่านอาจารย์ สิ่งใดที่ผิดควรจะรักษาไว้หรือไม่
อ.อรรณนพ ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น เพียงแต่จะยกตัวอย่างว่า ไม่ว่าเขาจะใช้คำว่าอะไรก็ตาม ใช้คำว่าชาวพุทธแต่ปฏิบัติผิด เข้าใจผิด ไปสำนักปฏิบัติแต่ไม่ศึกษาพระธรรม แล้วก็ใช้คำว่าชาวพุทธ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ช่วยกันพิจารณาคำพูดที่ว่ามูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นลัทธิใหม่ว่าลัทธิคืออะไร ตอบแทนเขาก็ได้ จะได้กระจ่างชัด เพราะว่าฟังเขาพูดอย่างนี้มาแล้ว ฟังมาแล้วก็ต้องพูดต่อไป ทุกคำต้องชัดเจน ลัทธิคืออะไร
อ.อรรณนพ อาจารย์สงบกรุณาแปลคำว่า ลัทธิ
อ.สงบ ลัทธิก็คือเป็นเรื่องของความเชื่อถือในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นรูปแบบหรือเปล่า หรือว่าเป็นสัจธรรมความจริง
อ.อรรณนพ เป็นสัจธรรมความจริง
ท่านอาจารย์ นี่ก็ผิดแล้วที่จะกล่าวว่าพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นลัทธิ เพราะว่ามูลนิธิศึกษาฯ ไม่ได้ศึกษาเรื่องอื่นเลย ศึกษาแต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ไม่ได้เผยแพร่เรื่องอื่น เผยแพร่แต่ความจริงที่ได้ศึกษาแล้ว เพราะฉะนั้นใครจะคิดว่ามูลนิธิทำผิดก็กล่าวมาเป็นข้อๆ เป็นเรื่องๆ เช่น บอกว่าลัทธิก็ผิดแล้ว และยังกล่าวว่าเป็นลัทธิใหม่ด้วย
อ.อรรณนพ คือเขาเก่งมาก เหมือนกับว่าจะปฏิวัติประเพณี
ท่านอาจารย์ ปฏิวัติประเพณีอะไร
อ.อรรณนพ เช่น ประเพณีที่ต้องไปสำนักปฏิบัติ การที่ต้องไปสำนักปฏิบัติเหมือนเป็นสัญลักษณ์โลโก้ของชาวพุทธไปแล้ว
ท่านอาจารย์ แล้วถูกหรือผิด ถ้าจะชี้แจงให้คนอื่นเข้าใจว่าปฏิบัติคืออะไร ไม่ใช่มีใครสามารถจะเป็นอัตตา ชวนใครก็ได้ที่ไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วก็ไปปฏิบัติ แต่ว่าปฏิปัตติต้องเป็นปัญญาที่ฟังพระธรรมแล้วรู้ว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้เป็นธรรมตรงตามที่ได้ฟัง แต่ว่ายังไม่ถึงกาลที่จะสามารถเข้าถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง สภาพธรรมใดด้วยการไปพยายาม แต่เพราะปัญญานั้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็ละความยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตน มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดเพราะปัจจัย ใครทำให้เห็นเกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำให้คิดเกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำให้เสียงเกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำได้ ไม่มีใครทำได้เลย เพราะฉะนั้น ปฏิบัตินั้นใครทำ โดยที่ว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย แล้วปฏิบัติ นั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ
เพราะฉะนั้นประเพณีหมายความถึงสิ่งที่กระทำสืบต่อกันมา แต่ว่าโดยความเข้าใจ หรือโดยความไม่เข้าใจ โดยความเห็นผิด หรือว่าโดยความเห็นถูก ถ้าเป็นสิ่งที่ผิด ควรเลิกหรือไม่ หรือว่าจะให้ผิดต่อไป
อ.อรรณนพ เรียนอาจารย์สงบ ถ้าเป็นการที่ศึกษา และแสดงตามพระธรรมวินัยอย่างถูกต้อง กล่าวธรรมว่าเป็นธรรม กล่าววินัยว่าเป็นวินัย ไม่ใช่ลัทธิความเชื่อ ที่เป็นกลุ่มๆ ใช่หรือไม่
อ.สงบ สิ่งที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนากำลังทำอยู่คือการนำชาวพุทธเข้าไปสู่พุทธประเพณี การนำชาวพุทธกลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า การนำชาวพุทธกลับเข้าสู่พระธรรมวินัยที่แท้จริง พระพุทธองค์ทรงตรัสในโกสิยวรรค ข้อที่ ๘ ห้ามภิกษุรับเงิน และทอง และยินดีในเงิน และทอง ภิกษุใดรับเงิน และทอง ยินดีในเงิน และทองนั้นต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ และเมื่อเราแสดงชัดเจนอย่างนี้ให้กลับไปสู่ความถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้แล้วนั้น ก็ได้ชื่อว่าเรากำลังนำกลับเข้าสู่พุทธประเพณี เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยตรง เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า ในกาลล่วงไปแห่งเรา พระธรรม และวินัยจะเป็นตัวแทนของเรา ก็แสดงว่าพระวินัยก็คือพระพุทธเจ้า พระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติล่วงเกินพระธรรมวินัยก็ชื่อว่าได้ปฏิบัติล่วงเกินพระพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่ปฏิบัติ ไม่เชื่อตามพระธรรมวินัยก็คือคัดค้านพระพุทธเจ้านั่นเอง
ท่านอาจารย์ จึงแล้วแต่ความเห็นถูกหรือความเห็นผิด คนที่มีความเห็นถูกก็ชื่นชมอนุโมทนา แต่คนที่เห็นผิดบอกว่ามูลนิธิเป็นลัทธิใหม่
อ.อรรณพ คือ สืบเนื่องมาจากที่ว่า จะใช้คำว่าใครหรือจะใช้คำอะไรกับใครก็ใช้ไปเถิด จะเรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธแล้วก็เห็นคนอื่นว่าเป็นลัทธินั้นลัทธินี้ แต่จริงๆ แล้วพุทธะคือปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญา มีแต่คำพูดที่เลื่อนลอยไร้สาระ ให้คนไปทำ เอาเงินไปมากมายแล้วก็จะได้นั่นได้นี่ ก็เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับคำสอน เมื่อสักครู่ที่ อ.สงบพูด ก็ขอเสริมสักนิด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราสนทนากันเรื่องมหาปเทสว่าพระองค์ท่านทรงแสดงไว้แล้วว่า คือเทียบเคียงกับธรรม และวินัย พระสูตร และพระวินัยต่างๆ เป็นเครื่องสอบทาน ว่าธรรมใด หรือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะผิดหรือจะถูก ก็มีพระธรรมวินัยที่เป็นศาสดาแทนพระองค์เป็นเครื่องสอบทาน ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมวินัย แล้วจะเอาอะไรมาสอบทาน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ลัทธิ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเหตุผล ไม่มีหัวข้อ เป็นคำกล่าวที่ไร้สาระ เพราะเหตุว่าถ้าจะกล่าวว่าเป็นลัทธิใหม่ ก็บอกมาว่าข้อไหน เรื่องอะไร แต่ถ้าไม่มีหลักฐาน คำนั้นเป็นคำไร้สาระ
อ.สงบ ถ้าประเพณีนั้นไม่ตรงกับพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ แล้วชาวพุทธก็พากันสืบต่อสั่งสอนปฏิบัติตามอย่างนั้น ก็ได้ชื่อว่าเป็นการช่วยกันเผยแพร่เพื่อที่จะทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย หรือเป็นสิ่งที่น่าเสียใจ รู้อยู่ว่ากำลังพากันไปสู่นรกคือแนวทางที่ผิด กลับชักจูงกัน รักษาไว้อย่างนี้ ได้ชื่อว่าเป็นการรักกันจริงหรือเปล่า ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่จริงหรือเปล่า ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่ซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์หรือเปล่า หรืออย่างไร
อ.อรรณพ ไม่กตัญญูต่อพระศาสนานั่นเอง เพราะไม่ได้ศึกษา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอย่าพูดเปล่าๆ มีหลักฐาน มีข้อที่จะต้องวินิจฉัยด้วย
อ.อรรณพ จริงๆ อยากให้คนที่คิดว่าการศึกษาพระธรรมวินัยที่ถูกต้องที่ศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นลัทธิ อยากให้เจ้าตัวเข้ามาพูดทีละข้อเลย แต่สันนิษฐานว่าเพียงแค่ว่าสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังจากมูลนิธิไม่ได้ตรงกับความคิดเห็นของเขา เพราะเขาจะยึดถือสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นหลักธรรม
ท่านอาจารย์ ก็เป็นคำ และความคิดของเขา ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าเขาไม่ได้ศึกษา เพราะฉะนั้นเขาก็คิดเอง เข้าใจเอง เป็นการลบล้างคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ เป็นมุสาวาทที่มีโทษมาก ก็คือเป็นการกล่าวตู่พระพุทธพจน์ กล่าวตู่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โทษที่ไม่ได้ศึกษา
ท่านอาจารย์ มุสาวาทะ คือคำไม่จริง แต่คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะ เพราะฉะนั้นยกขึ้นมาเทียบเคียงได้ สำนักปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติอะไร เข้าใจอะไร มาจากไหน มีสำนักปฏิบัติในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างหรือไม่ แล้วทำไมจึงไม่มี เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วก็ไม่มีความรู้อะไรเลย แล้วก็ไม่ได้ให้ความเข้าใจอะไรเลย แต่ให้ทำ พระพุทธเจ้า พุทธะ คือปัญญาความรู้ที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมเจ้าทำให้เกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง แต่การที่จะไปนั่ง ไปเดิน ไปยืน ไปนอน ทำขึ้นมา ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะให้ไม่รู้ ไม่ใช่ให้เข้าใจถูกต้อง
อ.สงบ เราจะช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า หรือเราจะช่วยกันรักษาคำสอนที่ผิด ที่ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้า ข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ชาวพุทธจะต้องพิจารณาใคร่ครวญ จุดประสงค์สูงสุดของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนานั้นก็คือ รักษาพระธรรมวินัยที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระพุทธเจ้า และเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้องนี้ไปสู่อนุชนรุ่นหลัง เพื่อที่จะให้ชาวพุทธนั้นได้รู้ว่าอะไรคือพระธรรมวินัยที่แท้จริง นี่เป็นคำสอน เป็นความหวัง ที่เราจะต้องช่วยกันพิทักษ์รักษา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อชาวพุทธรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่าอย่างไร แต่ถ้าไม่ทราบ แล้วไปประพฤติปฏิบัติตามๆ กัน จะไม่ใช่พระธรรม ไม่ใช่วินัย แต่เชื่อผู้ที่หวังลาภสักการะ เพื่อชื่อเสียง เพื่อสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองต้องการ ก็คือหลอกชาวพุทธเพื่อที่จะให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งชาวพุทธเองก็ไม่รู้ว่าเขาหลอก แล้วยังบอกอีกว่า ถ้าไม่ทำตามเขาแสดงว่าเราไม่ทำตามประเพณี ประเพณีนั้นถ้าเป็นประเพณีที่รักษาพระธรรมวินัยที่บริสุทธิ์ ประพฤติปฏิบัติตามอย่างถูกต้องตามพุทธประสงค์แล้ว สิ่งเหล่านั้นไฉนมูลนิธิจะไม่รักษาไว้หรือ
อ.อรรณพ เราก็กำลังทำตามประเพณีของชาวพุทธก็คือศึกษาธรรม สนทนาธรรม ซึ่งก็เป็นประเพณีตั้งแต่สมัยพุทธกาล
ท่านอาจารย์ ที่มูลนิธิให้คนเข้าใจถูกต้องว่าภิกษุในธรรมวินัยไม่รับ และไม่ยินดีในเงิน และทอง ผิดหรือถูก มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง แล้วใครกล้าที่จะเปลี่ยน เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ว่าชีวิตที่ไม่สงบมาจากการรับเงิน และทอง เพราะเหตุว่า การสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ก็แสดงอยู่แล้วว่าบรรพชาอุปสมบท คือเป็นผู้ที่สละทุกอย่างที่จะทำให้ไม่สงบ เพราะฉะนั้น เงินทองเป็นจุดเริ่มของการที่จะมีความประพฤติที่เต็มไปด้วยกิเลส และไม่สงบที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ และคำกล่าวที่ว่าภิกษุในธรรมวินัยไม่ยินดีในเงิน และทองเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.สงบ นอกจากนั้นยังมีบทบัญญัติห้ามภิกษุทำการค้าขาย และเพิ่มขึ้นมาอีกว่า ห้ามภิกษุแลกเปลี่ยนสิ่งของ นี่คือเป็นความบริสุทธิ์ของพระวินัย ในโกสิยวรรคข้อที่ ๘ ห้ามรับเงิน และทอง และยินดีในเงิน และทอง สิกขาบทที่ ๙ ห้ามภิกษุทำการค้าขายเยี่ยงคฤหัสถ์ สิกขาบทที่ ๑๐ ก็คือ ห้ามแลกเปลี่ยนสิ่งของ และเมื่อแสดงอย่างนี้แล้ว จะเป็นลัทธิใหม่อย่างไร ก็เป็นการสอนตามพระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงแสดงในสมัยพุทธกาล ไปวัดในสมัยพุทธกาลนั้นไปทำอะไร พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโปรดชาวพุทธ ในวันต่างๆ ที่ไปก็มีอยู่สิ่งเดียว คือพระองค์ทรงแสดงพระธรรมที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสให้ใครเอาเงินไปถวายพระองค์ ไม่เคยตรัสว่าจะไปสวรรค์นิพพานได้นั้นต้องซื้อด้วยเงิน ไม่มีเลย พระพุทธศาสนาทำการเผยแพร่นั้นได้เผยแพร่ด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ แม้การยังชีพของภิกษุนั้นก็รับบิณฑบาตรจากชาวบ้านที่มีศรัทธาตามมีตามเกิด และถ้ารับไว้วันนี้แล้วจะเก็บไว้ฉันพรุ่งนี้ก็เป็นอาบัติ ห้ามเก็บ ห้ามสะสม เป็นความบริสุทธิ์หรือไม่ แม้เครื่องนุ่งห่มก็มีแค่ผ้าบังสกุลเท่านั้นเอง ที่อยู่อาศัยก็เป็นของสงฆ์ของส่วนรวม โคนต้นไม้ และป่าไม้เป็นที่ๆ พระองค์ทรงสรรเสริญสำหรับเสนาสนะที่อยู่อาศัยของภิกษุ ใช้ยาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพียงยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น นี่คือความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ถ้านอกจากนี้นั้นก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วเราจะรักษาสิ่งที่ไม่ใช่คำสอนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามพุทธประสงค์ไว้หรือ
ท่านอาจารย์ แล้วใครสามารถขายสวรรค์ได้
อ.ธีระพันธ์ จริงๆ แล้ว ใครก็ตามที่ไม่ได้แสดงสิ่งที่ถูกต้องตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั่นคือลัทธิที่ใหม่ ใหม่จากคำสอนคือผิดจากคำสอน ไม่ได้แสดงความจริงของสภาพธรรม เที่ยวไปกล่าวว่าผู้อื่นเป็นลัทธิใหม่แต่ที่บอกว่าตนเองเป็นของเก่า อะไรเก่า ถ้าเป็นความไม่รู้ก็คือไม่ใช่ความจริง แต่บอกว่าเป็นคำดั้งเดิมที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เลย อันนี้ผิดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องจะเป็นลัทธิใหม่หรือเก่า แต่ว่าถ้าแสดงธรรมตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั่นคือความถูกต้อง การปฏิปัตติที่เข้าใจกันก็ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นการที่คิดว่าจะไปปฏิบัติลงมือทำ แต่ว่าปฏิบัตติตรงตามคำสั่งสอน ตรงตามที่ปริยัติที่มั่นคง จึงเป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติไม่ใช่ไปเที่ยวเดินทำอะไรที่ผิดปกติ นั่นต่างหากคือลัทธิใหม่
ท่านอาจารย์ แล้วความจริง พระธรรมยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง ไม่ใช่ปกปิดไว้ และไม่กล่าวถึง นั่นเป็นเหตุที่จะทำให้ทำลายคำสอนของพระศาสนา เพราะเข้าใจผิด