รอบรู้ในแต่ละคำ


    ขณะนี้มีสภาพธรรมแต่ละอย่างปรากฏแต่ละทางคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การที่ได้มีโอกาสฟังพระธรรมแต่ละคำจึงมีประโยชน์เกื้อกูลที่จะทำให้ได้ค่อยๆ เข้าใจจนรอบรู้จริงๆ เพื่อที่จะเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้


    ขณะนี้ทุกอย่างเป็นธรรม เริ่มฟัง เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรอง นี้เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเราจะฟัง แล้วจะรู้ความจริงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีทันทีได้ไหม เพราะพระองค์ก็ตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งที่ปรากฏ เดี๋ยวนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีเท่านี้เอง ไม่ว่าโลกไหน แต่กว่าจะได้รู้ความจริง ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก เพราะฉะนั้นฟัง ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็รู้ว่าพระธรรมก็คือ คำสอนให้แต่ละคนที่ได้ฟัง สามารถมีความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ มีสิ่งซึ่งรู้ได้ไหม แทงตลอดหรือไม่ ตรงตามที่ได้ฟังหรือไม่ หรือว่าเพิ่งเริ่มฟัง แล้วต้องเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ว่าความเข้าใจที่เกิดจากการฟังมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ให้คนอื่นต้องบอกเลย แต่ผู้ฟัง บางท่านก็บอกว่าท่านฟังมา ๔๐ ปี ๕๐ ปีก็มี แต่ เห็น ขณะนี้รู้หรือไม่ ต้องตรง รู้ขั้นไหน ขั้นฟังเข้าใจ ปริยัติ ฟังพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ฟังคำคนหนึ่งคนใดเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าใครจะกล่าวคำจริง คำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะพูดเรื่องเห็นเดี๋ยวนี้ พระอรหันตสัมมาสัมเจ้าทรงแสดงไว้แล้วเรื่องนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปคิดเอง คิดเองเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดไม่ถูก แต่จากการฟัง จะเริ่มเห็นความลึกซึ้ง ของสิ่งซึ่งทุกคนเหมือนรู้ว่ามี เหมือนรู้ว่าเข้าใจ แต่ว่าความจริงลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น เพราะเหตุว่าจากปริยัติ ฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกคำลืมไม่ได้

    ธรรมทั้งหลายหมายความว่าทุกอย่าง ไม่เว้น เพราะฉะนั้นไม่ว่ากำลังมีอะไรปรากฏ สิ่งนั้นเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด นอกจากธาตุ สิ่งนั้นมีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แม้แต่ขณะนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ฟังไว้ ฟังไว้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ปัญญา รู้แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมขณะนี้ได้ เพียงขั้นฟังเล็กน้อย แต่จากการฟังค่อยๆ มีความเข้าใจขึ้น ยังอีกไกลมาก กว่าจะค่อยๆ รู้ว่า ขณะนี้เป็นขั้นฟัง เรื่องสิ่งที่กำลังมี ที่กำลังเกิดดับ แต่ว่ายังไม่ใช่การที่สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับ เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาต่างขั้น ซึ่งถ้าไม่มีความรอบรู้ มั่นคง เป็นสัจจญาณ ในปัญญาขั้นแรกคือปริยัติ ฟังพระพุทธะพจน์แล้วก็สามารถที่จะรอบรู้ในแต่ละคำ ไม่ลืม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมทั้งหลายทั้งหมด ทั้งปวง ทั้งสิ้นไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ความหมายของอนัตตาก็คือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งก่อนได้ฟังธรรม เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นแก้ว เป็นโต๊ะ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา

    แต่ความจริงไม่มีการเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนกว่าจะได้ฟัง มีประโยชน์ไหม สำหรับในชาติหนึ่ง ซึ่งเกิดมา เห็นมาแล้วก็มาก ได้ยินก็มาก ได้กลิ่นลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่มีโอกาส มีการได้ยิน มีการได้ฟัง มีการที่จะเข้าใจ แล้วความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้เลย เย็นนี้จะจากโลกนี้ไป ความเข้าใจสิ่งที่มีที่ได้ฟังมากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นแต่ละครั้ง ก็เป็นประโยชน์ที่ว่าจะได้เข้าใจธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา แค่นี้ ความรอบรู้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ตรงขึ้น ว่าเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นถ้าได้ฟังมาแล้วนาน และธรรมก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก แต่สามารถที่จะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ รู้ความห่างไกลของผู้ที่เริ่มฟังธรรม กับผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง และได้ทรงแสดงความจริงไว้ถึง ๔๕ พรรษา ความลึกซึ้งจะมากสักแค่ไหน


    หมายเลข 10561
    14 พ.ค. 2567