มีกิเลสมากแค่ไหน


    สะสมกิเลสไว้ในจิตมามากมาย ดังนั้นทันทีที่ตื่นขึ้นกิเลสก็เกิดได้อย่างง่ายดาย เป็นปกติ และถ้าพอใจที่จะมีกิเลสต่อไป หรืออยากจะหมดกิเลสเร็วๆ ก็เป็นโลภะ ทั้งสิ้น แต่การที่จะละกิเลสได้ต้องเริ่มจากปัญญาที่เข้าใจความเป็นธรรมดาของ กิเลส


    ใครกลัวกิเลสบ้าง มีอยู่ก็ไม่กลัว เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังก็คือว่า ที่คุณคำปั่นถามว่า กิเลสมีมาก มากอย่างไร ถ้าตอบก็คงเหลือเชื่อ แค่เห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา มีอายุสั้นมาก เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพียงแค่นี้รู้ไว้ก่อน จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่ขณะนี้อะไรปรากฏ มากมายหลายอย่างใช่ไหม แต่ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิต ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้สิ่งที่ปรากฏ เกิดหนึ่งขณะแล้วดับ เกิดขึ้นทางตาเพียงเห็น ทางหูเพียงได้ยิน แล้วดับ แต่ขณะนี้มีทั้งเห็น ทั้งได้ยินด้วย มากมาย แต่ว่าตามความเป็นจริงคือ เห็นหนึ่งขณะดับ ยังไม่เป็นอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นกว่าเห็น จะเห็นจนกระทั่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ใครนับได้ ว่าจิตต้องเกิดดับมากเท่าไร แต่นี่รูปร่างสัณฐานเต็มไปหมดเลย และสิ่งที่จิตกำลังเห็นขณะนี้ ก็เกิดดับด้วย แต่ช้ากว่าจิต จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะจิต ไม่ต้องคิดเลย เร็วแค่ไหน และก็รูปที่กระทบตา ที่ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นดับ เมื่อจิตเกิดดับไปแล้ว ๑๗ ขณะ แต่ก่อนนั้น ก่อนที่จะปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน เป็นคนมากมาย ขณะนั้นก็มีกิเลสเกิดแล้ว ตามการสะสม ซึ่งพร้อมที่จะเกิด

    เวลาที่กิเลสไม่เกิด ก็คือขณะที่หลับสนิท หลับสนิทกิเลสมี ยังไม่ได้ดับ แต่ไม่เกิด ไม่ปรากฏว่า มี เพราะฉะนั้นในขณะที่ดับ เหมือนไม่มีกิเลสเลย แต่ทันทีที่ตื่น ทันทีที่ปรากฏสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทางตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย ยังไม่ทันเป็นรูปร่างสัณฐาน นิมิตใดเลย กิเลสก็เกิดแล้ว เพราะสะสมมามาก พร้อมที่จะเกิดทันที เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เหมือนสิ่งที่หมักดองนาน และพร้อมที่จะไหล ทันทีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบ หรือจะกล่าวว่าเหมือนกับต้นยาง ทันทีที่กรีดหรือเจาะไป เพียงนิดเดียว ยางก็ซึมออกมาแล้วฉันใด

    เพราะฉะนั้นกำลังนอนหลับสนิท กิเลสไม่เกิด แต่ไม่ได้หมายความว่ากิเลสไม่มี มีพร้อมที่จะเกิด เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏ กำลังเกิดดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้

    นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงให้เห็นว่ากิเลสขณะนี้ นับได้ไหม เห็นก็นับไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นกิเลสที่ เมื่อเห็นแล้ว ก็มีความติดข้องทันที แล้วแต่ว่าจะเป็นประเภทใด กิเลสระดับนี้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ใช้คำว่า อาสวะ

    นี่คือพระธรรม ที่ทรงแสดงให้แต่ละคนได้ตระหนักว่า ไม่รู้มากมายแค่ไหน เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรมต่อไป เข้าใจต่อไป ทีละเล็กทีละน้อย ที่จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ว่า กิเลสทั้งหมดนี้ สามารถที่จะดับได้ ไม่เกิดอีกเลย แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตน ไม่ใช่ด้วยการขวนขวาย พยายามที่จะไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น เพราะแม้แต่ความเข้าใจก็เป็นธรรม ซึ่งเกิดเองไม่ได้เลย เจริญเติบโตเองก็ไม่ได้ ฟังวันนี้แล้วไม่ฟังอีกเลย แล้วจะให้ปัญญาสามารถที่จะไปดับกิเลสอะไรได้ ก็เป็นสิ่งซึ่งเหตุกับผลต้องตรง พอใจไหมที่รู้ ได้เข้าใจว่า มีกิเลส ตอนนี้เริ่มคิด ไม่ตอบง่ายๆ แล้วนะ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด

    เพราะฉะนั้นถามว่าพอใจไหม ที่เข้าใจว่าตัวเองมีกิเลสมาก ถ้าไม่ถาม ไม่รู้เลย ว่าผู้ฟังละเอียด และก็รู้จักกิเลสแค่ไหน พอใจไหม ใช้คำว่าพอใจนะ พอใจไหม ยินดีไหม ที่ได้รู้ว่าตัวเองมีกิเลสมาก ยินดีเป็นโลภะ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่ากิเลส พร้อมที่จะเกิด ถ้าไม่ใช่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ก็ทางใจ แค่นี้ แล้วจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท รอบคอบอย่างยิ่ง ในการฟังพระธรรมหรือไม่ เพราะแค่นี้เพียงฟังก็เผินมากแล้ว ดีใจไหมที่รู้ว่า ได้เข้าใจว่าตัวเองมีกิเลสมาก ไม่พอใจที่มีกิเลสมากหรือเปล่า ตอนนี้จะตอบได้อย่างไร ค่อยชัดเจนขึ้นเลย ไม่พอใจที่มีกิเลสมากๆ หรือเปล่า อยากจะมีกิเลสน้อยๆ ลงหรือเปล่า

    อยู่ในโลกของกิเลส ก็เป็นไปตามกิเลส ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ใครจะรอดพ้นจากบ่วงของมาร กิเลสสมาร มีมารหลายอย่าง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ก็เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ตั้งจิตไว้ชอบในการฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจความจริง ไม่รีบร้อนไปไหน ถ้าไปก็ผิด เพราะเหตุว่าไปด้วยความต้องการ เบิกบานไหม ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจถูก ว่ามีกิเลส เพราะฉะนั้นปัญญาไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อน ไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์ แม้รู้ว่ามีกิเลส แต่เป็นความเข้าใจถูก ก็เบิกบานที่ได้เข้าใจความจริงว่า เป็นผู้ที่มีกิเลสถูกต้อง


    หมายเลข 10562
    14 พ.ค. 2567