มอบตนต่อพระรัตนตรัย
ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่สามารถจะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และมอบตนต่อ พระรัตนตรัย คือเห็นประโยชน์ในการศึกษา และประพฤติตามธรรมได้เลย เพราะยังเป็นไปด้วยอำนาจกิเลสมากมาย แม้จะได้เกิดเป็นเทพในสวรรค์ก็ตาม
ทุกคนที่นี่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรือไม่ ได้ยินคำว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ เคยพูดด้วยหรือไม่ พูดแล้วผ่านไปเลย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร หรือว่าแต่ละคำจริงใจแค่ไหน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสังฆรัตน คือพระสงฆ์สาวก ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคล เป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นพึ่งจริงๆ หรือไม่ หรือว่าพึ่งจริงๆ อย่างไร หรือพึ่งจริงๆ แค่ไหน ตามลำดับของความเข้าใจ ที่สะสมมาแล้ว ที่กำลังสะสมอยู่ และจะสะสมต่อไป
ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า มอบตนให้พระศาสดา หรือพระรัตนตรัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นมอบตนก็คือ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้ามิฉะนั้นไม่ชื่อว่ามอบตน แต่ว่าถ้าเพียงแต่กล่าวตาม หมดแล้วผ่านแล้ว ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย จากการที่จะกล่าวคำนั้น แม้แต่จะกล่าวไปแล้วก็ยังไม่ได้ประโยชน์ เพียงแต่กล่าว แต่ถ้าเป็นผู้ที่ลึกซึ้ง รอบคอบ รู้ว่าพระธรรมละเอียด แม้ว่าขณะนี้ก็มีธรรมทั้งนั้นเลย ก็ยังไม่ได้เข้าใจธรรมเหล่านี้เลย ถึงขั้นที่จะรู้แจ้งตามความเป็นจริง ก็เป็นผู้ที่ฟังด้วยความเคารพในธรรม เพื่อที่จะรู้ว่า เมื่อฟังต่อไป มีความเข้าใจขึ้น ก็สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งสภาพธรรม อย่างบุคคลในครั้งโน้นได้ แต่ว่าเมื่อยังไม่ใช่ ก็จะต้องฟังต่อไป
เพราะฉะนั้นการที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ตามลำดับของความเข้าใจ แล้วก็ข้อความที่ว่า มอบตนแก่พระรัตนตรัย จากคำที่กล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หมายความแค่ไหน ฟังธรรมโดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระศาสดา เพราะฉะนั้นทุกคำที่ผู้มีพระภาคตรัส เหมือนกับตรัสกับตน เมื่อมอบตนแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามคำที่ได้ทรงแสดงไว้ ถ้าไม่มอบตนก็พูดไปเถอะ ฟังไปเถอะ แต่ก็ไม่ปฏิบัติตาม อย่างนั้นชื่อว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หรือว่ามอบตนหรือยัง หรือว่ากล่าวไว้ก่อนๆ แต่ยังไม่มอบตน
แต่ถ้ามอบตนจริงๆ คือเห็นคุณค่าจริงๆ กิเลสที่มากมายมหาศาล สามารถจะค่อยๆ ละคลายไป จนกระทั่งดับได้เป็นสมุจเฉท เพราะว่าทุกคนในขณะนี้อยู่ในภพที่ลำบาก ด้วยกิเลส ในมนุษย์เห็นกิเลสมากไหม คิดว่าบนสวรรค์ กามาวจรเทพ จะมีกิเลสมากไหม ที่ไหนๆ ก็ต้องมีกิเลสมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เพราะมีคำอุปมาว่า อวิชชา ความไม่รู้ เปรียบเหมือนลูกศร ที่แทงเข้าไปในใจ แล้วฉาบทาด้วยยาพิษ มีทางไหมที่จะเข้าใจธรรม ถ้าตราบใดที่ยังมีอวิชชา แล้วก็ไม่รู้เลยว่า ขณะใดก็ตามที่อกุศลเกิดขึ้น เพราะมีอวิชชา มีความไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ด้วยความเป็นตัวตนที่อยากจะเข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ แต่ฟังเพราะสำนึกว่า เป็นผู้ไม่รู้ และก็จะรู้ได้ ยิ่งฟัง ยิ่งไม่รู้ เพราะฉะนั้นมอบตนคือ ฟัง เพื่อกล่าวคำใด ก็จะประพฤติปฏิบัติตามคำนั้น
เพราะว่ากิเลสมากเหลือเกิน วันนี้ใครเห็นกิเลสของตัวเองบ้าง ไม่ต้องกิเลสคนอื่น คนอื่นเยอะ แต่ตัวเองนี้คือหนึ่ง เพราะฉะนั้นแค่ตัวเองหนึ่ง กิเลสแค่ไหน ไม่มีการรู้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมแต่ละคำเพื่อให้แต่ละบุคคล เกิดปัญญา ความเห็นถูกต้อง ในความไม่ดีของตนเอง ในอกุศลของตนเอง เพื่อที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะว่าก่อนอื่น ถ้ายังคงยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นเรา จะดับกิเลสใดๆ ไม่ได้เลย ภพนี้กิเลสมาก เพราะอะไร เพราะอยู่ในโลกนี้ ก็จะไปเห็นกิเลสอื่นได้อย่างไร อย่างวันนี้ มีขณะนี้ ขณะนี้รู้ไหมว่ามีกิเลสแล้ว แล้วจะกล่าวว่ามาก ถ้าศึกษาจริงๆ ก็จะเข้าใจได้เลยว่า มากอย่างที่ต้องฟังพระธรรมเท่านั้น ที่สามารถจะทำให้มีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีได้ จนค่อยๆ ละความไม่รู้
อีกไม่นานก็จะไปสู่ภพต่างๆ ก็ควรที่จะคิดถึงภพอื่นบ้าง เช่น กามาวจรเทพ ผู้ที่กำลังฟังธรรมเข้าใจ เป็นกุศล ถ้ากรรมนี้ให้ผล ก็จะเกิดในสุคติภูมิ มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ แล้วภูมิอื่นสวรรค์ ก็ต้องสะดวกสบาย สุขสำราญมากกว่านี้ แต่ข้อความในพระไตรปิฏกก็มีว่า กามาวจรเทพ เร่าร้อน เพราะถูกแผดเผาด้วยกิเลส กามมาวจรเทพ ไม่ว่าสวรรค์ชั้นไหน เพราะคงไม่ถึงรูปพรหมแน่ เร่าร้อน เพราะถูกเผาด้วยกิเลส กิเลสนี้ก็รวมทุกอย่าง โลภะ โทสะ โมหะ มานะ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้หรือไม่
เพราะฉะนั้นพ้นไปได้ไหม เมื่อไปเกิดบนสวรรค์ แต่สำหรับสวรรค์ ทุกคนก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างปราณีต สะดวกสบาย มีความสุขมากกว่าโลกมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้น สบายอย่างนั้น สะดวกอย่างนั้น ก็ยังถูกแผดเผา เร่าร้อน เพราะถูกแผดเผาด้วยกิเลส เพราะเหตุว่าจิตฟุ้งซ่าน ในการบริโภคของ ซึ่งเป็นพิษ เป็นปกติ ใครจะรู้บ้างของดีๆ ทั้งนั้น สวยๆ งามๆ น่าเพลิดเพลินเจริญใจ แต่ก็ขณะใดก็ตาม ที่กำลังมีสิ่งนั้น ชวนกุศล และอกุศล ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นอกุศล คือความไม่รู้ และความติดข้อง ก็แผดเผาแล้วขณะนั้น เพราะจิตฟุ้งซ่าน ขณะใดก็ตามที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นฟุ้งซ่าน
นี้คือการศึกษาธรรม แม้แต่เพียงคำเดียว คือเราจะไม่รีบร้อนไปถึงคำว่าภพ มีกี่ภพ หมายความว่าอะไร แต่ก็คือเดี๋ยวนี้นั่นเอง ทุกอย่างก็คือเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ ทำให้สามารถที่จะไตร่ตรอง และก็มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพื่อที่จะตัดสินด้วยตัวเองว่า จะมอบตน แก่พระศาสดา หรือพระรัตนตรัยหรือไม่ คิดว่าอย่างไร มอบตน กลัวตกใจ ไม่ดี หรือจะต้องไปเป็นทาสรับใช้หรืออะไรหรือไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย มอบตนที่จะเป็นผู้ที่มีพระศาสดา คือผู้ที่เป็นที่พึ่งในคำสอน ที่สามารถจะทำให้คนที่ไม่ดี ค่อยๆ ดีขึ้น ด้วยตนเอง เพราะเหตุว่าคนอื่นก็ทำอะไรให้ไม่ได้เลย แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดอย่างยิ่งแล้ว แต่ถ้าใครไม่เห็น ใครไม่เข้าใจ ใครไม่ประพฤติตาม พระองค์จะว่าอะไรเขาได้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะช่วยบุคคลอื่นได้เลย นอกจากคำ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นปัญญัติพละ อาศัยคำของคนอื่น สามารถที่จะทำให้เกิดการไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง แล้วก็รู้ว่าอีกนานไหม ที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มั่นคงขึ้นหรือเปล่า ที่จะไม่ฟังพระธรรม ด้วยการอยากจะรู้อย่างนั้น อยากจะรู้อย่างนี้ ด้วยความเป็นตัวตน แต่ไม่ได้เห็นคุณค่า ของการที่แต่ละหนึ่งคำ ถ้าไตร่ตรองจริงๆ ก็สามารถที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือจากความที่ไม่รู้ ก็ทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้นจากโลกนี้ไปสู่สวรรค์ เต็มไปด้วยสิ่งที่เพลิดเพลิน ไม่ทุกข์ร้อน ไม่เดือดร้อนเหมือนโลกนี้เลย แต่ก็ถูกแผดเผาให้เร่าร้อนด้วยกิเลส ในขณะที่บริโภคของ ซึ่งเป็นพิษตามปกติ ไม่ใช่เฉพาะในสวรรค์ แม้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ท่านอุปมาว่า ดุจกองไฟสุมด้วยไม้แห้ง ลุกโพลงด้วยแรงลม ชีวิตประจำวันหรือเปล่า ทุกขณะไม่ใช่ไม่มีไฟ กองไฟ แน่นอนทุกคนมี จะกี่กองก็แล้วแต่ แต่ก็คือไฟทั้งนั้น อกุศลทั้งหลายก็เป็นกองไฟ ซึ่งสุ่มด้วยไม้แห้ง ไม่เคยขาดเชื้อเพลิงเลย แล้วก็ลุกโพลงด้วยแรงลม ขณะไหนที่ปรากฎความเดือดร้อนใจอย่างมาก ขณะนั้นก็ชัดเจน เพราะเหตุว่า มีปัจจัยที่จะทำให้ไฟสามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ ว่าเป็นไฟ
นี้คือกามมาวจรภพหรือกามมาวจรเทพ ไปไหม ก็ดีกว่ามนุษย์ และนรก มนุษย์นี้ก็เป็นสุคติ แต่ว่าอบายภูมินั้นก็หนักหนากว่านี้มาก แต่ให้เห็นพระคุณ ถ้าไม่ตรัสไว้อย่างนี้ เราจะคิดไหม ว่าใครสามารถที่จะช่วยให้แต่ละคนพ้นจากสภาพที่เป็นอย่างนี้ วันแล้ววันเล่า เพราะเหตุว่าเป็นอย่างนี้ตลอดไป เพราะมีเหตุที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ เช่นแค่คำว่า เช่น คำเดียว เมื่อสักครู่นี้ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ มีเพื่อให้รู้ว่า มีเกิดแล้วก็ดับ จริงๆ แล้วลืมไป ว่าไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่แต่เฉพาะเสียงนี้ ทุกอย่างที่กำลังปรากฏเกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย สลดไหม ยัง ฟังเท่าไรยังเป็น มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งระดับไหน ระดับที่ถ้ามอบตนก็ฟังต่อไป ศึกษาต่อไป
เพราะเหตุว่าเหมือนคนที่จมอยู่กลางมหาสมุทร ไม่มีทางที่จะออกไปพ้นโอฆะสังสาระของความไม่รู้ได้เลย จนกว่าจะมีความเข้าใจที่สะสมไป สะสมไป ด้วยการละคลาย ไม่ใช่ด้วยความติดข้อง แต่ด้วยการรู้ว่า ธรรมสำหรับละ เพราะฉะนั้นมอบตนคือ ทุกคำที่ได้ฟัง ประพฤติตาม ที่จะฟังต่อไป ไม่ง่วงเหงา ไม่มีโทสะ ก็แล้วแต่ว่า แต่ละขณะนี้กำลังเป็นอะไร
เพราะฉะนั้นแต่ละคำในพระไตรปิฎก ไม่มากเลยใช่ไหม แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจได้ลึกซึ้ง และก็สามารถที่จะเห็นคุณค่า และพระธรรมไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ที่จะได้ฟังต่อไป ก็มีมาก แต่ไม่ใช่ฟังเพราะอยากจะเข้าใจ แต่เห็นตัวเองฟังเมื่อไรก็นี่แหล่ะ คือธรรม ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังก็เพื่อที่จะเริ่มเข้าใจขึ้น