กล้าที่จะพูดสิ่งที่ถูก
ทำไมไม่กล้าที่จะรู้ความจริง และไม่กล้าที่จะกล่าวคำจริง ทั้งๆ ที่การรู้ และกล่าว ความจริงตามพระธรรมเป็นการเคารพในพระรัตนตรัย และเป็นประโยชน์เกื้อกูล ต่อผู้อื่นด้วย
ไม่กล้าที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ หรือว่าไม่กล้าที่จะกล่าววาจาสัจจะ แล้วประโยชน์อะไรของการที่เกิดมา ในเมื่อไม่กล้า เพราะเหตุว่าบางคนห่วงอะไร ห่วงความรักตน ห่วงคนอื่นเขาจะว่าเรา ทำไมเราพูดอย่างนี้ คนอื่นเขาไม่ได้พูดอย่างนี้ เราเป็นใคร เขาเป็นใครไม่สำคัญ คำจริงคือคำไหน อะไรถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าพูดคำจริงคนอื่นไม่ชอบ ไม่เป็นไรเลย ในเมื่อเราไม่ได้กล่าวคำไม่จริงตามความพอใจของคนอื่น ที่ต้องการที่จะให้เราพูดคำไม่จริง แต่เมื่อคำนั้นเป็นคำจริงแล้ว ไม่สนใจเลย ใครจะว่าเรา แต่คำนั้นจริง ขณะนี้สภาพธรรม มี พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรมที่ปรากฏ สิ่งที่ดับไปแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร เพราะทรงแสดงไว้ว่า สิ่งใดที่ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะไปพิจารณา ไปรู้สิ่งที่ไม่มี ได้อย่างไร และสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิด ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ของสิ่งที่ยังไม่เกิดจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไร
แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ใครว่าไม่จริง แล้วก็ไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ด้วย แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้มี และทรงแสดงให้คนที่ได้ฟัง เริ่มเข้าใจว่า ปัญญารู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีเเล้วไปทำขึ้นมา นั้นคือไม่ใช่สิ่งที่มีจริงๆ เพราะเหตุใด ไป แสดงว่าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ทำ ทำได้อย่างไร ขณะที่ไม่ได้ทำ ก็มีสิ่งที่ปรากฏแล้ว เพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นก็เป็นความเข้าใจผิดความหลงผิด ถ้าพูดคำจริงอย่างนี้จะกลัวอะไร กลัวคนไม่ชอบ กลัวเสื่อมลาภ กลัวถูกนินทา กลัวไม่ได้รับเกียรติยศ ไม่มีบริวาร แล้วก็จะจากโลกนี้ไปอยู่แล้วทุกขณะ ใครรู้ได้ และประโยชน์ที่สุดของการที่เกิดมา อะไรสำคัญกว่า ไปติดอะไรในรูป เสียง กลิ่น รส หรือว่าเกียรติยศ บริวาร ทรัพย์สมบัติ เงินทอง เพียงปรากฏแล้วหมด และไม่มีความเข้าใจอะไรเลย นอกจากทำให้ติดข้อง
เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ของการฟังพระธรรม จะรู้เลยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมเพื่อละ เพราะว่าเกิดมาก็ติด แล้วก็ต้องเกิดอีก ก็เพราะติดข้อง ใช้คำว่าโลภะ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่หมายความว่า เพราะการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นความติดข้อง แต่เราชาตินี้เสร็จแล้ว จากโลกนี้ไปแล้วอยู่ไหน ไม่มีเลย แต่สิ่งที่มีคือทุกอย่างที่เป็นกุศล และอกุศลในชาตินี้ ที่เกิดแล้วสะสมสืบต่ออยู่ในจิต ไม่จากไปเลย
เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงมีแต่ละอัธยาศัย และประโยชน์สูงสุดคือ เมื่อเป็นคำจริงแล้ว ไม่พูดคำจริง จะได้ประโยชน์แก่ใคร จะทำให้เกิดประโยชน์หรือไม่ พูดคำไม่จริง แต่ถ้าเป็นคำจริงแล้ว พิจารณาได้ ถูกไหม กล้าตั้งแต่เริ่ม กล้าที่จะรู้ว่าอะไรจริง และก็กล้าต่อไป คือสิ่งไหนที่ไม่จริง ก็ทิ้งไป แล้วยังกล้าที่จะกล่าวคำจริง ให้คนอื่นได้รู้ด้วย เพราะเหตุว่าความเป็นมิตร คือความหวังดี ให้สิ่งที่จริง ไม่ใช่สิ่งที่ลวง เพราะฉะนั้นไม่ได้เสียประโยชน์แก่ใครเลย ที่จะได้ฟังความจริง และคำจริง จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ไม่สำคัญ ในเมื่อถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว จะปฏิเสธไหม ว่าแต่ละคำนั้นไม่ถูกต้อง เช่น เห็น เดี๋ยวนี้มีจริง ถ้าจะรู้ความจริง ก็ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งรู้ยากมาก
เพราะเหตุว่าเราพูดเรื่องเห็นกำลังเห็น พูดเรื่องได้ยินกำลังได้ยิน พูดเรื่องแข็งกำลังปรากฏทางกาย มีทุกอย่างที่กล่าวถึง แต่ไม่ได้รู้ตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏว่า นั้นเป็นธรรมจริงๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเลยสักอย่างเดียว แต่ต้องฟังจนกระทั่งมีความมั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงใย เรื่องการที่จะมีคนรัก คนชัง หรืออะไร ขอให้เขาได้เข้าใจถูก และคำพูดนั้น ก็เป็นคำจริง ซึ่งสามารถที่จะถามได้ กล่าวได้ สนทนากันได้ เพราะว่าทุกคนก็ต้องมีความหวังดีต่อกัน ที่จะให้คนได้เข้าใจความจริง เเล้วก็เป็นการเคารพสูงสุดในพระรัตนตรัย กล่าวว่าเคารพพระรัตนตรัย แต่ไม่ศึกษาธรรม แล้วกล่าวผิดๆ จากความจริงที่พระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว นั้นเป็นการเคารพหรือไม่