ระดับขั้นของปัญญา
การรอบรู้ในขั้นการฟังพระธรรม จะเป็นปัจจัยให้เกิดการระลึกรู้ และประจักษ์แจ้ง คือรู้รอบในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความต่างระดับกัน ของปัญญาในขั้นการฟัง การระลึกรู้ และการประจักษ์แจ้งในความจริง
คนที่ไม่เข้าใจพระปัญญาคุณ แม้เดินตามหลังไป อย่างสุนักขัตตลิจฉวีบุตร ก็เข้าใจว่า พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง มาจากการที่ทรงไตร่ตรอง เขาคิดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้รู้ความหมายของคำว่าตรัสรู้ ไม่ใช่คิด แต่หมายความว่าสามารถประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม จึงได้ทรงประกาศหรือกล่าวแสดงความจริงของสภาพธรรม ซึ่งเป็นจริง ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่อบรมแล้ว ก็ไม่สามารถจะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ฟังพระธรรม จากพระผู้มีพระภาค จึงมีผู้ที่สามารถรู้ความจริงได้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ใช่จากเพียงการฟัง แต่สามารถที่จะเข้าใจถูกของปัญญาตามลำดับขั้นว่า ขั้นฟัง เป็นผู้ที่รอบรู้มั่นคง จึงเป็นสัจจญาณ ใครจะบอกว่าขณะนี้ไม่ใช่ธรรม เพราะเขาไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แต่ถ้ารู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดปรากฏ มีลักษณะที่ปรากฏ เป็นแต่ละหนึ่ง แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้มั่นคง เป็นสัจจญาณ รอบรู้จริงๆ จึงจะเป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติ ซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นโพธิปักขิยธรรม ธรรมรัตน ซึ่งเป็นที่พึ่ง
ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจในธรรมรัตน จะมีธรรมรัตนเป็นที่พึ่งได้อย่างไร เพราะเหตุว่าธรรมรัตน คือหนทาง ซึ่งเงินทองซื้อไม่ได้ มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด เพราะเป็นหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง และเมื่อสภาพธรรมนั้นปรากฏ กับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ก็เป็นการประจักษ์แจ้งว่า ตรงกับทุกคำที่ได้ฟัง ไม่มีคำไหนที่เปลี่ยนไปเลย เช่นสภาพธรรมกำลังปรากฏทีละหนึ่งอย่าง หมายความว่าอย่างไร ขั้นฟังถูกต้อง เสียงปรากฏในขณะที่สีสันวรรณะไม่ได้ปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
แต่การประจักษ์แจ้งไม่ใช่อย่างนั้น มาจากปฏิปัตติ ซึ่งหมายความถึงโพธิปักขิยธรรม ธรรมฝ่ายกุศล ซึ่งเป็นหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงของทุกคำที่ได้ฟัง โดยการที่เริ่มเข้าใจว่า ขณะนี้ได้ฟังเรื่องเห็นเกิดดับ แต่ไม่รู้การเกิดดับของเห็น หรือแม้พูดถึงเรื่องเห็น ก็ไปคิดเรื่องอื่น แต่เห็นไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น จริงไหม และเมื่อเห็นไม่มีอย่างอื่นมาปะปนเลย จึงสามารถที่จะรู้รอบในเห็น ว่าเห็นเป็นอย่างนี้ เป็นธาตุซึ่งไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น และขณะนั้นก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งไม่ใช่เห็น
เพราะฉะนั้นโลกไม่เหมือนโลก ที่เต็มไปด้วยการไม่รู้ความจริง แล้วก็ติดข้องในสิ่งซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏทีละหนึ่ง แต่ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้มั่นคงขึ้น เดี๋ยวนี้เอง พอพูดถึงเห็น กำลังรู้ที่เห็น รู้ที่เห็นไม่เหมือนกับกำลังฟังเรื่องเห็นแล้วเข้าใจ แข็งมีไหม มี แข็งปรากฏหรือไม่ ขณะที่รู้ว่าแข็งมี ไม่ใช่ขณะที่แข็งปรากฏ เพราะฉะนั้นความต่างกันก็คือว่า พูดเรื่องแข็ง ทุกคนก็เคยกระทบแข็ง รู้ว่าแข็งเป็นอย่างไร แต่ไม่ใช่ขณะที่แข็งปรากฏโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย ชัดเจนกว่าในความแข็ง ไม่ต้องใช้คำอธิบายใดๆ เลย เพราะแข็งปรากฏ
รส พูดถึงรสอร่อย กลมกล่อม รสหวาน รสเค็ม กำลังพอดี พูดไปเถอะ จะเหมือนกับขณะที่รสกำลังปรากฏกับธาตุ ที่กำลังลิ้มรสคือรู้เฉพาะรสนั้น ซึ่งอธิบายอย่างไรก็ไม่เหมือนกับ ขณะที่รสนั้นกำลังปรากฏกับสภาพที่กำลังรู้รสนั้นจริงๆ ฉันใด จิตเห็นขณะนี้ปรากฏกับสภาพที่กำลังเข้าใจจิตเห็น มีเห็นจริงไม่ใช่ไม่มี ฟังเรื่องเห็นจริงไม่ใช่ไม่ฟัง เข้าใจเรื่องเห็นจริงไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ความรู้ในเห็น ที่กำลังเห็น ไม่มี เป็นแต่เพียงฟังเรื่อง และเข้าใจเรื่อง เพราะฉะนั้นก็ต่างกับขณะที่กำลังรู้ กำลังเข้าใจเห็น ซึ่งกำลังเห็น ไม่ต้องใช้คำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะขณะนั้นกำลังมีสภาพธรรมซึ่ง ความเข้าใจถึงระดับที่ ถึงเฉพาะลักษณะนั้นด้วยความเข้าใจถูก ตรงตามที่ได้ฟัง นี้คือตนเป็นที่พึ่ง คือโพธิปักขิยธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะเหตุว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม แต่ธรรมไหนจะเป็นที่พึ่ง ก็ต้องเป็นธรรมที่เมื่อพึ่งแล้ว เข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม
นี่เพียงเริ่มต้นที่จะเข้าใจตรงเห็น ซึ่งเป็นสติปัฎฐาน ก็คือจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เข้าใจสภาพรู้หรือธาตุรู้ ไม่ใช่เข้าใจโลภะหรืออะไรๆ ทั้งสิ้น แต่ธาตุรู้เดี๋ยวนี้มีจริงๆ แล้วถ้าเป็นเพียงสิ่งอื่นไม่ร่วมด้วย ไม่มีในที่นั้น มีแต่เฉพาะสิ่งนั้นคือธาตุรู้กับสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ ความเข้าใจจะชัดเจนไหม ว่าไม่ใช่เรา นี่เป็นธาตุรู้ซึ่งกำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าแต่ละคำ จากการที่เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ และก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะทำให้เริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังกล่าวถึง จนกว่าโลกอีกโลกหนึ่งปรากฏ ไม่ใช่โลกที่ร่วมกัน เดี๋ยวนี้มากมาย แต่เฉพาะในความมืดสนิท เพราะว่าธาตุรู้ ไม่สว่างเลย แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนั้น แล้วแต่ว่าถ้าเป็นเสียง ขณะนั้นก็เป็นเสียงที่ปรากฏในความมืดกับธาตุรู้ ซึ่งไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลยทั้งสิ้น เป็นไปได้ไหม ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่จริง
ความจริงเป็นอย่างนี้จริงๆ หลับตา เสียงปรากฏ มีธาตุที่ได้ยินเสียง แต่ขณะนี้ที่ไม่ใช่ขณะที่ปัญญาสมบูรณ์ ก็ยังจำได้ว่ามีเรา และมีอย่างอื่น ถ้าในขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย เป็นการสมบูรณ์ของปัญญาจริงๆ ซึ่งโดยความเป็นอนัตตา ไม่ต้องไปรอคอย ไม่ต้องไปหวัง ต้องเป็นอานาปานสติ ต้องเป็นอิริยาปถปัพพะ หรือต้องเป็นอะไร เฝ้ารอ เฝ้าคอย เฝ้าจ้อง ด้วยความเป็นตัวตน ไม่ใช่ด้วยความเข้าใจในพระธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง และเป็นความจริง ซึ่งค่อยๆ สะสมโดยการละคลายความติดข้อง ว่าเป็นเรา เพราะว่าตราบใดที่ยังเป็นเรา ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย แต่เมื่อได้ละคลายความไม่รู้ จนกระทั่งสภาพธรรมนั้น มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น โดยความเป็นอนัตตา ขณะนั้นไม่มีโลกที่รวมกันเลย ถูกต้องไหม เพราะความจริงโลกไม่ได้รวมกัน เป็นแต่ละโลก แต่ละขณะ แต่ละวาระ
เพราะฉะนั้นทุกคำที่ทรงแสดง จากการเริ่มจากวาระของการรู้อารมณ์ทีละอย่าง จิตเกิดดับสืบต่ออย่างไร เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตา แต่ไม่ใช่ให้เราไปรู้อย่างนั้น แต่ให้เห็นพระปัญญาคุณ ที่ทรงประจักษ์แจ้งสภาพธรรม และความเป็นอนัตตาว่า จิตเห็นแค่เกิดขึ้นเห็น และดับ จิตต่อไปไม่เห็นแล้ว แต่ยังปรากฏเหมือนเห็น เพราะความไม่รู้ โดยที่สภาพธรรมนั้น เกิดดับสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ จะไม่ให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นวิปัสสนาญาณ จึงไม่ใช่ปัญญาขั้นฟัง ที่เป็นปริยัติ หรือขั้นต้นที่เป็นปฏิปัตติ คือเริ่มเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่ง จึงสามารถที่จะรู้ลักษณะเฉพาะสิ่งนั้น หมายความว่าเมื่อใช้คำว่าเฉพาะสิ่งนั้น สิ่งอื่นต้องไม่มีแต่ตราบใดที่ยังไม่ชัดเจน ยังไม่กระจ่าง เพราะปัญญายังไม่ถึงระดับที่จะถึงปฏิเวธ สภาพธรรมนั้นก็ไม่ปรากฏ เพราะยังมีความเป็นเราอยู่มาก ที่ปิดบัง และหนทางนี้เป็นหนทางละโดยตลอด ถ้าไม่มีความมั่นคงจริงๆ จะมีความขวนขวาย จะมีความจงใจ จะมีความติดข้อง แทรกคั่นอยู่ตลอดทาง
เพราะฉะนั้นเมื่อปัญญา สามารถที่จะเห็นสภาพธรรมซึ่งกั้น ไม่ให้ปัญญาเจริญ และรู้ว่าไม่ใช่หนทาง ก็ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย การที่จะต้องการ การที่จะหวัง การที่จะพากเพียร ทำด้วยความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมทั้งหมดเป็นไปเพื่อละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสทั้งหมด