เบาเพราะเข้าใจ
การฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจขึ้นๆ จนมีความมั่นคงในธรรม ก็จะไม่ต้องหนักใจว่า ยังไม่เข้าใจเรื่องโน้นเรื่องนี้ และเมื่อรู้จริงๆ ในสภาพธรรมก็จะยิ่งเบาด้วยความ เข้าใจที่เพิ่มขึ้น
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่มีข้อสงสัยในพระสูตรนี้ ก็เข้าใจมั่นคงว่าต้องเป็นธรรม และเป็นอนัตตาทั้งหมด
ผู้ฟัง แค่จำหรือแค่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ แค่จำแล้ว ต้องเป็นอกุศลแน่ ใครก็จำได้ ท่องได้ สวดได้ โดยเฉพาะไม่พูดถึงสิ่งที่จะทำให้เข้าใจขึ้น แต่พูดถึงสิ่งที่ไม่รู้อยู่อย่างนั้น ก็เพิ่มการที่จะเพิ่มความไม่รู้ และพูดถึงเรื่องที่ไม่รู้ไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ไม่ได้ละคลายในส่วนที่เป็นเรา เขา ส่วนที่เป็นโลภะ ติดข้อง หรือโทสะเลย
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจว่า เท่าไรก็ไม่พอ จนกว่าจะตรัสรู้ ธรรมเป็นอย่างนี้ โกรธก็เป็นอย่างนี้ ติดข้องก็เป็นอย่างนี้ นี่คือธรรม เข้าใจขึ้นๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรทั้งหมดเลย และก็รู้ตัวเองจริงๆ ว่าเข้าใจขึ้นแค่ไหน ก็มั่นคงแค่นั้น
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากความเข้าใจทำกิจของความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วไม่ต้องห่วงใยอะไรทั้งสิ้น ห่วงใยก็เป็นธรรม ทุกอย่างก็เป็นธรรมด สิ่งที่เกิดแล้วก็เป็นอย่างนี้ ตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี ไม่ใช่ในตำรา เป็นคำๆ แต่ในสิ่งที่กำลังมี แล้วก็ฉลาดในวาระจิตที่กำลังติดข้อง ทางตาหรือไม่ ผู้นั้นก็รู้เอง ถ้าไม่รู้ขณะนั้นก็ชื่อว่าไม่ฉลาด จะฉลาดได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรหนัก ก็ฟังไปเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ นั้นคือความถูกต้อง เพราะธรรมไม่ได้ทำให้หนัก ความเข้าใจธรรม เข้าใจแล้วไม่หนักเลย ถ้าไม่ใช่ธรรมก็หนัก ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจก็หนัก อกุศลทั้งหมดหนัก เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจถูกต้อง การฟังธรรมต้องละเอียดต้องรอบคอบ ต้องลึกซึ้ง เพื่อเข้าใจจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่คำพูดที่หนัก ความเบาจริงๆ คือขณะที่เข้าใจ ไม่ใช่ขณะที่พูด แต่หนักอย่างไร ก็ไม่รู้ว่าหนักใช่ไหม เก็บความหนักไว้นาน จนชิน เหมือนไม่หนัก ละเมื่อไร คลายเมื่อไร หมดไปเมื่อไร จะเห็นความต่างกันอย่างยิ่ง
อ. อรรณพ กำลังหนักอยู่
ท่านอาจารย์ แน่นอน
อ.อรรณพ ชินกับความหนัก อยู่กับความหนักอยู่อย่างนี้
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะฉะนั้นเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้รู้ว่าหนักคือหนัก ไม่เห็นว่าหนัก ไม่รู้ว่าหนัก และยังชอบหนัก จะเห็นพระคุณ เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ของความเห็นที่ถูกต้อง ว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนอื่นต้องเห็นโทษของอกุศลก่อน ถ้าไม่เห็นโทษ ไม่เดือดร้อนเลย วันนี้ก็ไม่ได้ทำกรรมอะไร ศีลอะไร ที่จะขาดล่วงไปสักอย่างเดียว ก็ดูไม่เดือดร้อน แต่หนักทั้งวัน
อ. อรรณพ เห็น ได้ยิน และความสบายใจนั้น เป็นตัวอย่างที่หนักอย่างไร
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างมีปัจจัย เกิดจากไม่มี ตอนไม่มี ไม่ได้ติดข้องอะไรเพราะไม่มี แล้วก็มีปัจจัย ทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดมีขึ้น เพราะไม่รู้ความจริงในสิ่งนั้นซึ่งดับแล้ว ยังติดข้องในสิ่งนั้น โดยไม่รู้ว่าไม่มีแล้ว เบาไหม ถ้ารู้อย่างนี้ ว่าแท้ที่จริงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะก่อนนั้นไม่มี เพียงมีปรากฏแล้วหมดแล้วไม่มี เพราะฉะนั้นติดข้องในความไม่มี ก็ไม่รู้ แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่าไม่มีเหลือเลย ในสังสารวัฎฎ์ โลกไหนกี่โลกก็หาไม่ได้ ในสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ เกิดแล้วดับ เดี๋ยวนี้เลย หาอีกไม่ได้เลย เบาไหม แล้วถ้ารู้จริงๆ อย่างนี้เบาแค่ไหน