ความหลากหลายของความรู้สึก


    ความรู้สึกคือเวทนาเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ และความรู้สึกก็มีความหลาก หลายมากมายในแต่ละขณะจิต


    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเรื่องของเวทนามากมาย แล้วแต่ว่าจะเกิดทวารไหน แล้วจะรู้อย่างนี้ไหม เดี๋ยวนี้เอง มีแข็งกำลังปรากฏ ขณะก่อนแข็งจะเกิด เวทนาก็แล้วแต่ภวังค์ขณะนั้น เป็นอุเบกขาหรือโสมนัส เพราะว่าถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม ก็แล้วแต่ว่าขณะที่ทำกุศลนั้น ประกอบด้วยโสมนัสหรือว่าเฉยๆ เพราะฉะนั้นถึงกาลเวลาที่กรรมนั้นจะให้ผล ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิต คือจิตขณะแรกของแต่ละคน เดี๋ยวนี้ ชาตินี้ ซึ่งเกิดสืบต่อมาจากชาติก่อน ใครบอกได้ ว่าความรู้สึกที่เกิดพร้อมกับขณะแรกของจิตที่เกิดนั้นเป็นอะไร เป็นโสมนัสได้ไหม เมื่อเป็นผลของกุศลที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา เป็นอุเบกขาได้ไหม เฉยๆ เมื่อเป็นผลของกุศลที่ประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา ก็ไม่รู้ แต่ทำไมพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงละเอียดอย่างยิ่ง ตามเหตุตามปัจจัย เพราะเหตุว่าให้เห็นว่า ไม่ใช่เรา พูดเท่าไรก็เป็นเราทั้งนั้น กี่ชาติ

    เพราะฉะนั้นก็ต้องทรงแสดงไว้มากมาย แล้วแต่ว่าใครมีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟังมากน้อยแค่ไหน เข้าใจแค่ไหน เข้าใจธรรม ไม่ใช่เข้าใจเพียงคำ ที่เราจะพูดถึงความรู้สึก ความรู้สึกขณะนี้ใครรู้ มากมายนับไม่ถ้วน เกิดดับสืบต่อ ตั้งแต่ก่อนที่จะเห็นด้วยซ้ำไป ก็มี เพราะเวทนาเจตสิก ความรู้สึกต้องเกิดกับจิตทุกขณะ ไม่มีขณะไหนเลย

    ด้วยเหตุนี้เมื่อจะแสดงความละเอียด ว่าไม่ใช่เรา จึงทรงแสดงความรู้สึกที่เกิดกับจิตทุกขณะไว้ด้วย ให้เห็นว่าบังคับไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นทางกาย ก่อนกายวิญญาณ คือจิตที่กำลังจะรู้แข็ง ที่กำลังปรากฏขณะนี้ ต้องมีวิถีจิตแรก ซึ่งเกิดใช่ไหม เพราะแข็งต้องเกิด และกระทบกับกายปสาทรูปที่กาย ซึ่งต้องเกิด แล้วทั้งสองอย่างยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตไม่เป็นภวังค์แล้ว เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่มากระทบกาย ทำให้มีการรู้ว่า สิ่งนั้นทางไหน เพราะฉะนั้นปัญจทวาราวัชชนจิต คือจิตที่สามารถรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๕ ทวาร แล้วก็ทุกทวารด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้กลิ่น ไม่รู้อะไรเลย เพียงแค่รู้พ้นจากภาวะของการที่หลับสนิท ไม่รู้อะไรเลย เพราะไม่มีอะไรปรากฏ ก็มีการที่รู้ว่า มีอารมณ์ปรากฏ นี่คือความรวดเร็วของจิต มีเวทนาไหม มีความรู้สึก รู้ได้ไหมเรา ไม่มีทาง

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม เพื่อเห็นความละเอียดอย่างยิ่ง ที่ต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วสับสน ฟังแล้วงง แค่ฟังยังงง แล้วตัวจริงของธรรม จะงงไหม ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเหตุว่าเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ฟังเพื่อให้ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น ว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นวิถีจิตแรก ถ้าเป็นทางกาย ยังไม่รู้สิ่งที่กระทบเลย ยังไม่ได้รู้ในความแข็ง แต่รู้ว่ามีแข็งกระทบทวาร จิตนั้นจึงทำกิจ รำพึง หรือนึกถึง หรือรู้ ใช้คำไหนก็ได้ ว่ามีสิ่งที่กระทบกาย แล้วก็ดับไปแค่นั้นเอง แต่ยังไม่รู้ลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหวเลย แค่รู้ว่ามีสิ่งที่กระทบแล้วดับ แล้วขณะต่อไป กายวิญญาณ เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เลือกได้ไหม แล้วแต่กรรมว่า อารมณ์ที่กระทบเป็นอารมณ์ที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นอารมณ์ที่น่าพอใจ จิตที่เกิดรู้อารมณ์ที่น่าพอใจ ที่กระทบกายปสาทเกิดขึ้น รู้ลักษณะนั้นเท่านั้น ไม่ทำกิจอื่นเลยทั้งสิ้น เพียงรู้ลักษณะของอารมณ์คือสิ่งที่กำลังสบาย ขณะหนึ่งแล้วดับไป ความรู้สึกขณะนั้นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็เป็นสุข

    ท่านอาจารย์ สุขเวทนา เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่า สุขเวทนา เกิดพร้อมกับจิตที่รู้สิ่งที่กระทบกายเท่านั้น โดยนัยของเวทนา ๕ ซึ่งแยกกายกับใจ นี่ก็แสดงถึงความละเอียดแล้ว แล้วก็ถ้าขณะนั้นเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจเลย ที่เรารู้สึกเจ็บ หรือคัน หรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อยอะไร ก็เพราะมีกาย และก็มีสิ่งที่กระทบกาย ทำให้ความรู้สึกนั้นเป็นไปตามสิ่งที่กระทบ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจจะเป็นสุขเวทนาได้ไหม ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย ก็ต้องเป็นไปตามสภาพของอารมณ์ที่กระทบ โดยกรรมหนึ่ง ที่เป็นผลของอกุศลที่ได้กระทำไว้ เป็นปัจจัยทำให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบกาย เมื่อไร เมื่อนั้น ถ้ามีความรู้สึกที่กายเกิดขึ้นปรากฏ ก็จะต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือสุขหรือทุกข์ ปวดฟัน เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ทุกข์

    ท่านอาจารย์ ทุกข์กาย กายวิญญาณ แต่สิ่งที่กระทบยังไม่ดับ เห็นความละเอียดไหม กระทบกาย ทุกข์ขณะเดียวดับ จิตที่เกิดต่อเป็นทุกขเวทนาหรือไม่ ไม่ใช่ทุกขเวทนาแล้ว เป็นอุเบกขาเวทนา เพราะเหตุว่าเป็น สัมปฏิจฉันนจิต จิตที่รับรู้สิ่งที่กระทบกาย ที่กายวิญญาณเกิดขึ้นรู้ขณะนั้น หนึ่งขณะแล้วดับ แต่จิตนั้นไม่ได้ทำการที่จะเป็นผุสสนกิจ คือรู้สิ่งที่กระทบเพียงแต่รับรู้ต่อ ความรู้สึกต่างกันแล้ว จากทุกข์กายวิญญาณ เป็นอุเบกขาเวทนา ใครบังคับได้ เห็นไหม เลือกไม่ได้เลยทั้งๆ ที่รูปยังไม่ดับ แต่เพียงแค่กระทบ และรู้สึก ขณะนั้นเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่กำลังเป็นกายวิญญาณ ต้องเป็นทุกข์หรือสุข แต่หลังจากนั้นแล้วไม่ใช่ จะต้องเป็นอุเบกขาเวทนา แม้ว่าอารมณ์นั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง แต่สัมปฏิจฉันนที่เกิดต่อไม่ได้ประกอบด้วยทุกขเวทนา เมื่อสัมปฏิจฉันนรับรู้ดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้สันตีรณจิตเกิดสืบต่อ มีอารมณ์เดียวกัน คืออารมณ์ที่ปรากฏที่กระทบกาย แต่เพราะไม่ได้ทำผุสสนกิจ ไม่ได้รู้ขณะที่กระทบจริงๆ ในความแข็งนั้น เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่เกิดเป็นอะไร

    ผู้ฟัง อุเบกขา

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม แล้วเราจะรู้หรืออย่างนี้ พอมาถึงโวฏฐัพพน กิริยาจิต ซึ่งต้องเกิดก่อนจิตที่เป็นกุศล และอกุศลทุกครั้ง ถ้าจิตนี้ไม่เกิด กุศล และอกุศลเกิดไม่ได้ เหมือนขณะนี้เห็น รู้แต่เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่รู้ถึงสัมปฏิจฉันน สันตีรณ โวฏฐัพพน หรือกุศล และอกุศลซึ่งเกิดต่อ ในเมื่อรูปที่ปรากฏยังไม่ดับ แต่นี้แสดงความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมว่าเป็นธรรม ฟังเพื่อให้รู้ว่าทำอะไรได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จะไปทำอะไร นอกจากเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นนี่คือหนทางที่จะละความไม่รู้ ค่อยๆ คลายไป ด้วยความเข้าใจทีละน้อยมาก แค่ไหน ก็ละความที่เคยไม่รู้ และเรายึดถือไว้เท่านั้น เพราะฉะนั้นพอถึงโวฏฐัพพน ความรู้สึกเวทนาเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็เป็นอุเบกขา

    ท่านอาจารย์ อุเบกขา เห็นไหม ว่าทุกข์กายหนึ่งขณะเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วกุศล อกุศล เกิด ไม่ชอบ ไม่สบาย เวทนาอะไร

    ผู้ฟัง โทมนัส

    ท่านอาจารย์ โทมนัสเวทนาเกิดทางกายได้ไหม จิตที่รู้สิ่งที่กระทบทางกาย เกิดกี่ขณะ ที่ใช้คำว่าวาระหนึ่ง วาระหนึ่งคือ รูปที่กระทบยังไม่ดับ แต่ความรู้สึกหลากหลายมาก แต่ละหนึ่งขณะจิต เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นพอถึงความไม่ชอบ แทบจะไม่รู้เลยเวลานี้ เพราะไปรู้แล้วว่าเป็นอะไร แต่ความจริงการเกิดดับเร็วกว่านั้นมาก เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังไม่ชอบ ขณะนั้นเป็นความรู้สึกเจ็บหรือไม่ ไม่ใช่เพราะเป็นคนละความรู้สึก เพราะฉะนั้นเจ็บเป็นทุกขกายวิญญาณ เกิดเฉพาะกับจิตที่กำลังรู้แข็งนั้นเท่านั้น แต่พอถึงความไม่ชอบ ซึ่งเกิดสืบต่อเร็วมาก แค่จาก ๓ ขณะคือ สัมปฏิจฉันน สันตีรณ โวฏฐัพพน ความรู้สึกไม่ชอบ แต่ไม่เจ็บ เกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาธรรมโดยละเอียด แม้แต่คำที่เราจะใช้คำว่า ทางกาย ทางใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ให้รู้ว่าต้องกล่าวถึงจิตอะไร เกิดขึ้นในขณะไหนทางทวารไหน แล้วก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เอง กำลังเป็นอย่างนี้ และถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก่อน สติสัมปชัญญะ สติปัฎฐาน สัมโพชฌงค์อะไร จะเกิดได้ไหม ที่จะทำให้สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะต้องเป็นความเข้าใจถูก ที่เป็นสัจจญาณ มั่นคงว่า ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจ เข้าใจขึ้นๆ เป็นหนทางเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นการจะกล่าวถึงเวทนา ก็ต้องกล่าวถึงจิตด้วย เพราะฉะนั้นจะสับสน ถ้าสมมุติว่าเราคิดเอง ฟังแล้วสับสน แต่ถ้าฟังรู้ว่าจิตหนึ่งขณะเกิดขึ้น และจิตหนึ่งขณะนั้น เป็นอะไรบ้าง ประกอบด้วยความรู้สึกอะไร ความจำอะไร และก็มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย โดยฐานะอะไร แล้วอย่างนี้จะเป็นเราหรือ ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น


    หมายเลข 10571
    14 พ.ค. 2567