ไฟไหม้บนศรีษะ


    ถูกเผาด้วยกิเลสอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่มีปัญญาที่จะรู้อย่างนั้นจริงๆ จนกว่า ปัญญาจะเจริญจนประจักษ์แจ้งในความดับไปใม่เหลือของสภาพธรรมที่เกิด ตามเหตุปัจจัย จึงจะเห็นในโทษของการที่มีสภาพธรรมในขณะนี้ และมีความเพียรที่จะอบรมเจริญปัญญา เพื่อพ้นจากสภาพเช่นนี้ต่อไปโดยไม่รีรอ เปรียบเหมือนผู้ที่รู้ว่าไฟกำลังไหม้อยู่บนศรีษะย่อมจะไม่รีรอที่จะพ้นจากภัยนั้นเลย


    อ. กุลวิไล ผู้ที่มีผ้าอันไฟไหม้ หรือว่ามีศีรษะอันไหม้ไฟ อย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ บางคนหรือทุกคน

    อ. กุลวิไล คงไม่ทุกคน

    ท่านอาจารย์ พูดถึงผ้าโพกศีรษะ หรือว่าไฟไหม้บนศีรษะ คืออะไรก่อนดีไหม เพราะว่าถ้าไม่รู้ว่าคืออะไร ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ฟังแค่นี้จะรู้ไหมว่าคืออะไร ถ้ายังไม่รู้ ข้อความต่อไปก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ทุกคนมีศีรษะ ใช่ไหม

    อ. กุลวิไล ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้โพกศีรษะ ผ้าโพกก็ไม่ได้ไหม้ เพราะไม่มีผ้าโพก แต่ไม่มีผ้าโพก ก็ยังมีไฟที่ไหม้บนศีรษะได้ เพราะฉะนั้นคืออะไร

    อ. กุลวิไล ซึ่งท่านก็แสดงถึง สภาพธรรมที่เป็นไฟ ของร้อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคืออะไร อกุศลธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่รู้ตัวเลยจนต้องอุปมาว่า เหมือนไฟที่กำลังไหม้บนศีรษะ หรือกำลังไหม้ผ้าโพกศีรษะ ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เห็นภัยไหม เวลาที่ไฟกำลังไหม้จริงๆ บนศีรษะ ไฟกำลังไหม้ผ้าโพกศีรษะ เวลานั้นเห็นภัยจริงๆ ไหม กำลังไหม้อยู่บนศรีษะ

    อ. กุลวิไล เห็น เห็นเฉพาะไหม้ที่ตัวอยู่

    ท่านอาจารย์ แต่เวลานี้ก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่เห็น เพราะอะไร หมดกิเลสหรือยัง ถูกเผา ก็ไม่รู้เลย จนต้องอุปมาว่า เหมือนไฟที่กำลังไหม้ผ้าโพกศีรษะ เพราะฉะนั้นคำอุปมานี้ใครจะรู้ ภังคญาณ ในวิปัสสนาญาณ เมื่อถึงวิปัสสนาญาณขั้นภังคญาณ ก็จะปรากฏเหมือนมีไฟไหม้ศีรษะหรือไหม้ผ้า ที่กำลังโพกศีรษะ ไม่อย่างนั้นไม่เห็น ไม่หนี ไม่ต้องการที่จะพ้นไป ใช่ไหม เพราะว่าอยู่ก็ทุกวันก็สบายดีเพราะไม่รู้ แต่ถ้าสามารถประจักษ์จริงๆ อย่างนั้นได้ จะรีรอไหม ที่จะพ้นจากภัยนั้น

    อ. คำปั่น เป็นเรื่องของปัญญา ที่เห็นโทษจริงๆ โทษของกิเลส แล้วก็โทษของสังสารวัฎฎ์ ที่เต็มไปด้วยทุกข์

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่คำว่าเห็นเกิดแล้วดับ และไม่กลับมาอีก ไม่ได้ไฟไหม้บนศีรษะเลยใช่ไหม เพราะไม่ได้เห็นอย่างนั้น ท่านพระอัสสชิกล่าวกับท่านพระสารีบุตรว่าอย่างไร

    อ. คำปั่น พระอัสสชิได้กล่าวกับท่านอุปติสสะในตอนนั้น ว่าธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุ และความดับของธรรมเหล่านั้น

    ท่านอาจารย์ ประโยคแรก ประโยคเดียวก่อน

    อ. คำปั่น ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ ปัญญาของท่านพระสารีบุตร กับปัญญาคนที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้เหมือนกันไหม ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ขณะนั้นเป็นธรรม ซึ่งท่านพระสารีบุตรได้อบรมมาแล้ว ที่จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนั้น เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุ เพราะอะไร เห็นการเกิดขึ้น เพราะขณะนี้สภาพธรรมก็เกิด แล้วได้ยินว่าธรรมใดเกิดแต่เหตุ ก็เข้าใจ เห็นนี้ก็เกิดแต่เหตุ ได้ยินนี้ก็เกิดแต่เหตุ ถ้าไม่มีเสียง ไม่มีโสตปสาท ได้ยินก็เกิดไม่ได้ นี้คือระดับหนึ่ง แต่ระดับที่อบรมเจริญปัญญามาแล้ว พร้อม ในขณะนั้นก็มีเสียงท่านพระอัสสชิ

    เพราะฉะนั้นเพียงแต่กล่าวว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ สภาพธรรมนั้นปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าปัญญาอบรมแล้ว ขณะนี้หรือขณะไหนก็เกิดได้ แต่ถ้ายังไม่สมควรที่จะเกิด ก็ไม่เกิด อย่างไรก็ไม่เกิด ได้แต่ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นเพียงเท่านี้ ปรากฏเหมือนไฟไหม้ศีรษะแล้ว สำหรับผู้ที่ขณะนั้นสภาพธรรมนั้น ปรากฏอย่างนั้นจริงๆ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ปรากฏอย่างนั้นดับกิเลสไม่ได้


    หมายเลข 10572
    14 พ.ค. 2567