ดีงามเพราะความเข้าใจ


    ความเข้าใจพระธรรมเป็นจุดเริ่มต้นของความดีงามต่างๆ ที่จะเป็นไปเพื่อดับ กิเลสต่อไป


    เข้าใจธรรม ดีไหม งามไหม กับการที่ไม่เข้าใจเลย มีธรรมปรากฏทั้งๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกวันก็ไม่รู้ ความไม่รู้นี้ ดีไหม ความไม่รู้นี้ งามไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจว่า ดีงามในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการที่สามารถที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เป็นสิ่งที่ดีงามแน่นอน เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจผิด ไม่หลงผิด เมื่อเข้าใจแล้วประเสริฐกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ซึ่งจะนำความดีงามยิ่งกว่านี้มาให้มากขึ้นได้ ก็ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นจุดเริ่มต้นของความดีงาม ซึ่งจะดีงามยิ่งขึ้น เพิ่มขึ้น จนถึงการดับกิเลสหมด เพราะว่าทุกคนก็รู้ว่ากิเลสไม่ดี แล้วก็หาทางดับ ก็ไม่หา เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าไม่ดี ไม่รู้จริงๆ

    ถามหลายคนว่าฟังธรรมไหม เขาก็ไม่สนใจ ฟังทำไม ไม่เห็นสนุก แต่ละคำก็ยาก แล้วก็ฟังไปก็ไม่รู้เรื่อง คิดว่าธรรมเป็นภาษาบาลี แต่ความจริงแม้พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงธรรมแก่ชาวมคธ ในภาษาของเขาคือภาษามคธี ซึ่งเขาเข้าใจได้ ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าในภาษาใดๆ ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเริ่มต้นความดีงาม คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มี ที่ได้ยินได้ฟังเดี๋ยวนี้เข้าใจไหม ถ้าเข้าใจแล้ว เข้าใจขึ้นอีก ได้ไหม

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เราฟังกี่คำ กับคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด เพื่ออุปการะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง จนกระทั่งความดีงามเพิ่มขึ้น จนกระทั่งดับกิเลสได้หมด แล้วก็จะไม่ฟังหรือ แต่ว่าไม่ใช่ว่าทุกคนรู้ตัวว่ามีกิเลสมาก เพราะเหตุว่าถ้าไม่ฟังธรรม ไม่รู้แม้แต่ว่ามีกิเลส บางคนบอกว่าเขาไม่มีกิเลส วันนี้ไม่ได้มีกิเลสเลย ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นทุจริตเลย เขาไม่มีกิเลส แต่เพราะไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ การที่จะเข้าใจธรรมได้ถูกต้องจริงๆ ไม่คลาดเคลื่อนไม่ผิดก็คือว่า เมื่อได้ยินแล้วไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกต้องของตนเอง ซึ่งไม่เปลี่ยน เมื่อเข้าใจแล้วว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ก็เริ่มที่จะเข้าใจว่า เห็นเดี๋ยวนี้ มีจริง เป็นธรรม ถ้ากล่าวว่าธรรมแล้ว หมายความว่าเป็นสิ่งซึ่งมีจริง ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ แล้วก็ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย

    เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตาคือเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยั่งยืน แต่ อะ ไม่ใช่ อนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง และยั่งยืน และแต่ละหนึ่ง ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งซึ่งถ้าได้เข้าใจแล้ว ก็จะรู้ว่าเป็นของใคร เกิดแล้วโดยที่ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เกิด

    อย่างโกรธ ขุ่นใจ ไม่มีใครชอบ แต่ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นของใคร ไม่ได้ไปทำให้เกิดเสียหน่อย หรือแม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับแล้ว สิ่งที่ไม่มีแล้วจะเป็นของใคร เพราะไม่มี ไม่ใช่ว่ามีอยู่ จะได้เป็นของใคร แต่ไม่มีจริงๆ ถ้าศึกษาต่อไปความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น จนกระทั่งมั่นคง ว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ เพราะเหตุว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน ในขณะที่ได้ยิน ต้องไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย และเช่นเดียวกัน ในขณะที่กำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ต้องไม่มีเสียงในสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ฟังเพื่อมีความเข้าใจถูกว่าแต่ละหนึ่งมีจริง


    หมายเลข 10574
    15 พ.ค. 2567