มรดกธรรม
มรดกที่ล้ำค่าของชาวพุทธคือความเข้าใจถูกตามพระธรรม ที่จะนำมาซึ่งประโยชน์ สุขที่แท้จริงคือพ้นจากทุกข์ได้จริงๆ
เกิดมาในโลกนี้ก็จริง เห็นก็จริง คิดก็จริง สุขก็จริง ทุกข์ก็จริง แล้วก็จากโลกนี้ไปก็จริง แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลยก็จริง แต่ว่าความจริง ยังไม่ต้องรอจนถึงจากโลกนี้ไป หรือถึงตอนค่ำ หลับสนิท ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่แม้ขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม จึงพิจารณาไตร่ตรองว่า แต่ละคำว่าถูกไหม จริงไหม ที่สำคัญที่สุดก็คือ ใครเป็นผู้ที่กล่าวคำนี้ และกล่าวคำนี้ได้อย่างไร คิดเอาเองหรือ หรือว่าได้ประจักษ์ความจริงแทงตลอด จนกระทั่งมีคำที่กล่าวถึงคำจริงนั้น ให้คนได้ศึกษาเข้าใจตามลำดับขั้น
เพราะฉะนั้นขณะนี้ กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจ เป็นปริยัติ การฟังพระพุทธพจน์ ไม่ได้ฟังคำของคนอื่นเลย คนที่ฟังพระพุทธพจน์ จะรู้ได้เลยว่าเป็นคำใหม่ ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน ตั้งแต่เกิดมาไปโรงเรียน ก็ไม่ได้สอนเรื่องนี้เลย ก็เป็นเรื่องวิชาการต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพระพุทธพจน์ เป็นพระธรรมแล้ว ต้องเป็นคำใหม่ทั้งหมด แม้แต่คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ได้กล่าวว่าคน สัตว์ สิ่งของ แต่กล่าวถึงธรรม เพราะว่าทุกอย่างที่มีจริง มีจริงชั่วขณะ ที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป เมื่อดับไปแล้ว เป็นของใครได้ ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ ดับแล้ว หมดแล้ว อยู่ไหน หาอีกไม่ได้เลย แล้วจะเป็นของใคร แล้วได้ยินเดี๋ยวนี้ ก็เหมือนได้ยินเมื่อสักครู่นี้ ทันทีที่ได้ยิน ก็ดับไปแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่ใช่ของใคร เกิดมาก็มีหู มีตา มีคิด มีนึก มีจำ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ไม่มีเราเป็นเจ้าของ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่เป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป
นี่คือเบื้องต้นของคำสอน ซึ่งคำสอนที่ถูกต้องเป็นความจริง จริงตลอด ไม่เปลี่ยนเลย จนกระทั่งสามารถที่จะถึงการดับกิเลส เป็นพระอรหันต์ได้ ก็จากความเข้าใจความจริง ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ ซึ่งเพียงเริ่มต้นที่จะเข้าใจความจริง ซึ่งมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
ที่สำคัญที่สุด มรดกที่ล้ำค่าสำหรับชาวพุทธ ก็คือความเข้าใจจากการได้รับฟังพระธรรม พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นก็เห็นว่า ชาวโลกไม่รู้ ด้วยพระมหากรุณา จึงทรงแสดงความจริง เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เท่านั้นเอง ไม่ใช่อย่างอื่นเลย เพราะว่าจะมีสิ่งใดที่ประเสริฐ เท่ากับความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความรู้ถูก ในสิ่งที่มี ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม จุดประสงค์คือเพื่อเข้าใจถูก ใครเข้าใจ ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดจริงๆ ซึ่งกำลังได้รับมรดก จากคำที่ได้ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา คือความเข้าใจของใคร กำลังมีเกิดขึ้นในขณะนี้ นั้นคือสิ่งซึ่งเป็นมรดก ได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นทายาทของพระธรรม เพราะเหตุว่าถ้าฟังแล้ว ไม่เข้าใจ ไม่มีประโยชน์เลย ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะบอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่ว่าพอฟังพระธรรมไม่เข้าใจ จะคิดหรือว่า พระองค์เป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ จึงได้ทรงแสดงอย่างนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้
เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เข้าใจ เริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระปัญญาคุณว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี จนกระทั่งตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งขณะนี้กำลังเกิดดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ จนไม่ปรากฏการดับของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น เพราะว่าสืบต่ออย่างเร็ว จากเห็นเป็นได้ยิน เป็นคิดนึก เป็นสุข เป็นทุกข์ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็คือว่า เข้าใจเมื่อไร รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น แต่ถ้าไปฟังคำอื่น ที่ไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องพูดถึงสิ่งที่มีจริง ให้คนที่ฟังไตร่ตรอง จนกระทั่งเข้าใจขึ้น