สักแต่ว่าเห็น


    กล่าวกันทั่วไปว่า สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได่ยิน ก็คือเพียงเห็นไป ได้ยินไป โดย ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย แต่ปัญญาที่เข้าใจในความเป็นธรรมของสิ่งที่ปรากฏ เช่น เห็น เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนใดๆ เลย นั่นจึงเป็น ความหมายที่แท้จริงในทางธรรมของ สักแต่ว่าเห็น


    ท่านอาจารย์ เห็นสักแต่ว่าเห็นทุกคนที่เป็นคนไทย ได้ยินใช่ไหม แล้วก็เข้าใจว่าอย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย อย่าไปติดใจ อย่าไปสนใจเพราะแค่เห็นสักแต่ว่าเห็น ก็แล้วไปใช่ไหม จะได้ไม่โกรธ จะได้ไม่พอใจ จะได้ไม่ต้องเรื่องมาก เพราะว่าถ้าไม่ใช่สักแต่ว่าเห็น เรื่องเยอะเลย เแต่นั่นไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจเป็นแต่เพียงภาษาชาวบ้าน เพราะฉะนั้นจะอ่านพระไตรปิฎกโดยเข้าใจว่าเป็นภาษาชาวบ้านถูกต้องไหม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสำหรับพระธรรมที่ทรงแสดงว่าเห็นสักแต่ว่าเห็น หมายความว่าเห็นเป็นเห็นไม่เป็นอย่างอื่น เห็นจะเป็นอื่นได้ไหม เห็นจะเป็นเราเห็นได้ไหม เพราะว่าเห็นเป็นเห็น สักแต่ว่าเห็น แต่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือว่าไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย เห็นเกิดขึ้นเป็นเห็นแล้วเห็นก็ดับไป เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังเห็น ไม่มีปัญญา สักแต่ว่าเห็นไม่ได้เลย ไม่มีทางเลย แต่เพราะเหตุว่า ได้ฟังพระธรรมจนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้นว่าเห็นมีจริงๆ ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้ แต่เห็นเกิดขึ้นเพราะปัจจัยหลายอย่าง แม้เห็นเพียงชั่วขณะเดียวที่เกิดขึ้นก็ยังต้องอาศัยปัจจัย ไม่มีใครไปทำเลย แต่เพราะมีตา ซึ่งกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีตา มีจักขุปสาทที่เราเรียกว่าตา เป็นรูปที่มองไม่เห็นเลยแต่ว่ามี และก็ทรงแสดงไว้ตามปกติคืออยู่กลางตา ลองมองกลางตาสิเห็นไหม จักขุปสาทไม่มีวันจะเห็น เห็นแต่เพียงสิ่งที่กระทบตาได้ และก็ปรากฏให้เห็น เป็นสีสันวรรณะต่างๆ แต่ถ้าไม่มีรูปนั้นที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ เห็นสักแต่ว่าเห็นคือเป็นเห็นเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่นเลย เป็นชั่วขณะซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย โดยการที่กรรมหนึ่งเป็นปัจจัยให้จิตเห็นนั้นเกิดขึ้นเป็นผลของกรรมนั้น

    ทุกคนพูดเรื่องกรรม และวิบาก วิบากคือผลของกรรม เพราะฉะนั้นก็พูดเรื่องกรรม และผลของกรรม แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้เองทุกขณะที่เห็น ไม่ต้องเป็นเรื่องราวมโหฬารใหญ่โตอะไร แค่เพียงเห็นก็เป็นผลของกรรมแล้ว แค่เพียงได้ยินเสียงปรากฏก็เป็นผลของกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นการฟังธรรมถ้าเข้าใจอย่างนี้ สักแต่ว่าได้ยินด้วย ได้ยินแล้วก็ดับไปแล้วก็หมดแล้วเป็นใครที่ไหน คิดนึกก็ไม่ใช่ได้ยินแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็ย่อมสามารถที่จะรู้ว่า หมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งไม่ปะปนกัน เกิดขึ้น และก็ดับไป แล้วต้องเป็นความเข้าใจขณะที่กำลังเห็นด้วย ต้องเป็นความเข้าใจในได้ยินที่กำลังได้ยินด้วย เพราะมิเช่นนั้นแล้วก็แค่คิด ในเมื่อไม่เห็นแล้วก็ไปคิดว่าสักแต่ว่าเห็น ในเมื่อไม่ได้ยินแล้วก็ไปคิดว่าสักแต่ว่าได้ยิน แต่เดี๋ยวนี้ได้ยิน สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรม เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ศึกษาจะไม่รู้ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ความไม่รู้เกิดสืบต่อพร้อมความติดข้องเป็นอาสวะ รวมทั้งจะมีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย ก็แล้วแต่การสะสมว่าขณะที่เพียงเห็นรูปยังไม่ดับ อกุศลที่เป็นความติดข้องในสิ่งนั้นเกิดแล้วเป็นกามาสวะ หรือว่าความติดข้องในความมีความเป็นไม่ใช่กาม แต่ก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นก็เป็นความติดข้องในภพในความเป็น เป็นภวาสวะ หรือว่ามีความเห็นผิดก็ได้ตามการสะสมก็เป็นทิฏฐาสวะ และทั้งหมดมาจากอวิชชาความไม่รู้ เป็นอวิชชาสวะ

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดสักแต่ว่า ถ้าสามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ ไม่ใช่ใครจะไปสักแต่ว่า แต่ปัญญาเห็นถูกต้องตามความจริงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป ก็ตรงกับคำว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แม้แต่เห็นก็มีความต่าง ถ้าถามว่าเห็นคนนั้นเดินไปไหม ใครรู้หรือไม่ ไม่รู้ว่าใครสักแต่ว่าเห็น แต่ไม่รู้ว่าใครก็ได้ เพราะฉะนั้นก็จะใช้คำพูดในภาษาของตนๆ แล้วแต่กรณี ว่าไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร ไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไร เพราะแค่เพียงเห็นสักแต่ว่าเห็นแล้วก็ไม่สนใจเลย ฟังธรรม หลายคนสักแต่ว่าได้ยิน ผ่านหูไปแล้ว เมื่อครู่นี้พูดว่าอะไร สักแต่ว่าได้ยินก็เข้าใจในความหมายนั้น ไม่รู้ว่าอะไรเพราะไม่สนใจไม่สำคัญอะไร ก็ใช้กันอย่างธรรมดา แต่ไม่รู้ แต่สักแต่ว่าด้วยความรู้ตรงกันข้าม


    หมายเลข 10580
    15 พ.ค. 2567