ประมาทไม่ได้


    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก ให้ได้เข้าใจความจริง ซึ่งยากยิ่งที่จะมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา จึงควรไม่ประมาทในการฟังพระธรรม แม้เพียงแต่ละคำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตามที่ทรงแสดง


    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้เราก็มีการบูชาใหญ่เท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่จะระลึกถึงดินแดนแห่งนี้ซึ่งสืบทอดพระธรรมโดยตรงจากประเทศอินเดีย ซึ่งในครั้งนั้นก็ชื่อว่าชมพูทวีป ซึ่งไม่ได้หมายเฉพาะประเทศอินเดียเท่านั้น แต่เป็นที่ๆ เหมาะแก่การที่จะได้ตรัสรู้ หลังจากที่พระพุทธเจ้าถึง ๓ พระองค์แล้ว ได้ตรัสรู้มาก่อนพระองค์นี้ก็เป็นพระองค์ที่ ๔ ซึ่งจะเหลืออีกพระองค์เดียวคือ พระศรีอริยเมตไตรย จะคอยหรือไม่คอย แต่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ไม่มีทาง เหมือนกับที่ได้มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้วมากมายหลายพระองค์ แต่ก็คอยมาก่อนหรือไม่ หรือไม่เคยคอยเลย หรือไม่เคยฟังธรรมเลย และก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้ยินแต่พระนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำนี้ไม่ใช่สำหรับให้เพียงจำได้ กราบไหว้ บูชา แต่ไม่เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นโอกาสซึ่งทุกคนไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะว่าก่อนที่จะปรินิพพานพระองค์ก็ได้ตรัสไว้ว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมคือทุกขณะ แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังธรรม ถ้าฟังด้วยความเข้าใจด้วยการเห็นพระคุณ ที่สามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ว่าจะเล็กน้อยสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็เป็นความเห็นถูกที่มั่นคง ที่จะทำให้ไม่ไปในทางที่ผิด และเป็นการที่จะได้เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่รู้จักพระสัมมาสัมพระเจ้าเลย เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่รูปที่เรากราบไหว้ ไม่เหมือนเลยด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งพระรูปกาย และปัญญาของคนที่เข้าใจว่ามีก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม จะรู้ได้เลยว่าเป็นผู้เขลาเป็นผู้ไม่ฉลาด เป็นผู้ที่สะสมมา ไม่เห็นคุณค่าของการที่จะได้เข้าใจ แม้แต่เพียงหนึ่งคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นคำว่าธรรม ขณะใดก็ตามที่มีการเข้าใจถูกว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ปัญญาของใครสามารถที่จะค้นคว้าไตร่ตรองด้วยตัวเอง จนกระทั่งรู้ได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีจริง และความจริงของสิ่งที่มีจริงคืออะไร เพราะฉะนั้นประมาทธรรมเพียงหนึ่งคำก็ไม่ได้ และเมื่อมีความเข้าใจแล้ว เห็นพระคุณทันที ถ้าไม่มีการทรงแสดงพระธรรมจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ใครจะมีโอกาสได้เข้าใจความหมายของคำว่าธรรม ในภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษามาคธี เพราะเหตุว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมต้องไตร่ตรอง แล้วก็ตรงต่อคำที่ได้ฟังต้องเป็นสัจจบารมี เมื่อฟังแล้วก็ตรงต่อความจริง เพื่อที่จะได้มีบารมีอื่นต่อไป เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีวิริยบารมีฟังเพื่อเพียรที่จะสามารถไม่ว่าเมื่อไรก็ตามแต่มีโอกาสที่จะได้ฟังอีก เพราะเหตุว่าการได้ฟังพระธรรมแต่ละครั้งไม่ใช่บังเอิญไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใครก็จะมาได้ฟังธรรม แต่ผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี พร้อมทั้งเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดมีขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย บังเอิญบ้างโชคดีบ้างอะไรบ้าง แล้วก็เข้าใจว่าถูกต้อง แต่ความจริงแม้แต่หนึ่งที่ปรากฏ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่สมควรที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่มีคำว่าบังเอิญ เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วจะรู้ว่าเป็นคนไม่รู้มานานแสนนาน จนกว่ามีโอกาสจะได้ฟังพระธรรมด้วยความไม่ประมาทในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แค่นี้ก็รู้แล้ว ห่างไกลกันเกินฟ้ากับดิน ไกลแสนไกล ฝั่งนี้กับฝั่งโน้นของมหาสมุทร

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเพื่อประโยชน์ของตนเองซึ่งไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นผู้ฉลาดหรือเป็นผู้มีปัญญาถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าจากการที่ได้ยินได้ฟังธรรมประโยชน์สูงสุด ที่พระอรหันต์สัมมาสัมเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้แต่ละคนที่ได้ยินได้ฟังพิจารณาไตร่ตรองแล้วก็มีความเข้าใจของตนเอง ถ้าฟังแล้วจำ สวดมนต์เก่งไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุว่าไม่ใช่พุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งบำเพ็ญบารมีไม่ใช่เพียงถึงความเป็นสาวก หรือถึงความเป็นปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าไม่ได้สามารถที่จะทำให้คนอื่นถึงการที่จะรู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะเหตุว่าพระธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง และพระธรรมที่ลึกซึ้งก็คือแต่ละคำที่จะได้ยินเรื่อยๆ ไปตั้งแต่คำแรกที่ได้ฟังแล้วก็ไม่ละเลย ไม่ประมาท เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า วงศาคณาญาติทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่ของเรา เพราะเหตุว่าเกิดคนเดียวแล้วก็ตายคนเดียว และก็อยู่ในโลกทุกวันนี้เห็นคนเดียว ได้ยินคนเดียว ได้กลิ่นคนเดียว ลิ้มรสคนเดียว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสคนเดียว คิดนึกคนเดียว เพราะฉะนั้นแต่ละคนแต่ละใจ ขณะนี้กำลังคิดนึกไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความคิดของใครได้

    เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม สิ่งที่มีจริง ไม่ลืมเลย ต้องมั่นคง ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏก็เป็นเพียงสิ่งที่เราคิด มีหรือไม่มีก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่ว่าเวลาที่รู้ว่าสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มี สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมที่จะให้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ลืมว่าทุกคำ กำลังมี และสามารถที่จะเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เมื่อเกิดแล้วต้องดับไป สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา


    หมายเลข 10585
    15 พ.ค. 2567