หนทางประเสริฐ
หนทางมีทั้งผิด และถูก แต่หนทางที่ประเสริฐสูงสุดคือหนทางของปัญญาที่เข้าใจ สภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งจะนำไปสู่การดับกิเลสได้จนหมดสิ้น
ท่านอาจารย์ มรรคคือทาง มีทางหลายทางไหม
ผู้ฟัง มีหลายทาง
ท่านอาจารย์ ไปไหนบ้าง
ผู้ฟัง ไปอบายก็มี ไปสุคติก็มี ไปพรหมโลกก็มี โลกุตรคือหลุดพ้นจากโลกก็มี
ท่านอาจารย์ ทางหลายทาง เเล้วทางไหนเป็นพรหมจรรย์ประเสริฐสุด
ผู้ฟัง พรหมจรรย์ คือทางหลุดพ้นจากกิเลส มีปัญญาประเสริฐสุด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจคำที่ใช้ด้วย มรรคพรหมจรรย์ หนทางของผู้ที่ประเสริฐ เพราะเหตุว่าได้อบรมเจริญหนทางที่จะทำให้เป็นผู้ประเสริฐ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีหนทางที่จะทำให้เป็นผู้ประเสริฐ ก็เป็นผู้ที่ประเสริฐไม่ได้ แล้วประเสริฐอย่างไร สามารถที่จะดับกิเลสได้ทั้งหมด ไม่เหลือเลยประเสริฐแค่ไหน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจแม้แต่คุณค่าของคำที่เราได้ยินได้ฟังว่า พรหมจรรย์ หนทางที่จะดับกิเลส ฟังแค่นี้สูงไกลแค่ไหน เพราะเหตุว่าทุกคนมีกิเลสมาก แต่ก็ยังมีทางที่สามารถที่จะดับกิเลสหมดไม่เหลือเลย คงไม่ลืมว่า แต่ละวันกิเลสเกิดไหม น้อยหรือมาก
ผู้ฟัง มากครับ
ท่านอาจารย์ แต่ที่มากกว่านั้นอยู่ในจิต ที่ยังไม่ปรากฏยังไม่เกิดขึ้น ยังหยั่งไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ากิเลสนั้นๆ เมื่อยังไม่ใช่เป็นผู้ประเสริฐที่ดำเนินหนทางที่ประเสริฐ ก็ดับกิเลสไม่ได้เลย ยังไม่ใช่พระโสดาบัน ความริษยา มีไหม
ผู้ฟัง มากมาย
ท่านอาจารย์ ปรากฏไหม
ผู้ฟัง ไม่ปรากฎ
ท่านอาจารย์ แต่ยังมีใช่ไหม
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ ยังไม่หยุดตราบใดเกิดได้ ท่านพระเทวทัตเป็นใครชาติไหน แต่ว่ากิเลสของท่านก็คือความมากมาย จนถึงกับริษยาผู้ที่เป็นผู้ประเสริฐ ถ้าริษยาคนที่มั่งมีศรีสุขธรรมดา ริษยาลาภยศสรรเสริญใครก็ยังธรรมดา แต่ผู้ที่หมดจดจากกิเลส และดับกิเลสแล้วผู้ที่ริษยายังริษยาได้ ริษยาแม้ในคุณความดีก็ได้ ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้เลย
พระเทวทัตท่านเองท่านก็ไม่รู้ตอนที่ท่านเป็นเด็กท่านจะมีความริษยามากมายที่สะสมมาแค่ไหน แต่พฤติกรรมที่ได้กระทำก็เพราะเหตุว่ากิเลสนั้นยังไม่ได้ดับ เพราะฉะนั้นกิเลสทั้งหมดโลภะ โทสะ โมหะอิสสา มัฉริยะอะไรต่างๆ ทั้งหมดที่มีในชีวิตประจำวัน ดับไม่เกิดอีกเลย เป็นไปได้ไหม เป็นไปได้ เพราะเหตุว่ามีหนทางเดียวที่จะทำให้ถึงความบริสุทธิ์เป็นพรหมจรรย์ ประเสริฐ เพราะฉะนั้นองค์แรกมรรคมีองค์ ๘ คืออะไร
ผู้ฟัง คือสัมมาทิฏฐิ
ท่านอาจารย์ คืออะไร
ผู้ฟัง เห็นทุกข์
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีทุกข์ไหม
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นทุกข์เดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง การเกิดดับทุกขณะเป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ เห็นหรือยัง
ผู้ฟัง ไม่เห็นครับ
ท่านอาจารย์ เเล้วก็จะไปทางไหน ไปทางลัดหรือว่าไปทางที่เริ่มเข้าใจ เพราะเหตุว่าต้องเป็นปัญญาจึงสามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตรงตามความเป็นจริง แม้ว่าขณะนี้ไม่ใช่ขณะที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ แต่เมื่อเริ่มมีความเข้าใจว่า เห็นไม่เที่ยง เห็นขณะนี้ อย่าคิดว่าเห็นนาน เห็นตลอดจนปรากฏว่า เป็นคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ แท้ที่จริงแล้วจิตเห็นเกิดขึ้นหนึ่งขณะ ก่อนเห็นไม่เห็น พอเห็นดับไปแล้วนั้นจิตที่เกิดต่อไม่เห็น แต่สามารถที่จะรับรู้สิ่งที่จิตเห็นรู้ โดยที่สิ่งนั้นยังไม่ได้ดับไปเลย เป็นความเห็นถูกหรือไม่ กว่าจะละความไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน นานแสนนานจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ฟังเพื่อเข้าใจถูกขึ้น ขณะใดที่เข้าใจถูก ก็ละความเห็นผิดหรือความไม่เข้าใจที่เคยเห็นผิดมานานว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่ามรรคคือปัญญาที่เห็นทุกข์ ก็ต้องรู้ว่าทุกข์เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตอนไหน แต่ต้องเดี๋ยวนี้เองที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดปรากฏเพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ประเสริฐไหม ถ้าจะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้ายังไม่เข้าใจก็ยังหลง ไม่สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นหนทางนี้ยากละเอียดลึกซึ้งแต่ประเสริฐยิ่ง เพราะเหตุว่า สามารถที่จะดับกิเลสได้ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ถึงจะเป็นหนทางที่ตรง มิฉะนั้นอย่างไรก็คิดว่ามีทางลัดหรือว่ามีทางอื่น แล้วทางลัดจะมีได้ไหม ไม่ได้ สภาพธรรมเดี๋ยวนี้กำลังเกิดดับ เข้าใจอย่างนี้ เริ่มเข้าใจหนทางซึ่งเป็นหนทางเดียวที่ประเสริฐ
เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษาเริ่มจากคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เปลี่ยน จากไม่เข้าใจจนกระทั่งถึงดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ ก็คือธรรมทั้งหลายทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่เพียงชื่อไม่ใช่เพียงฟัง แต่เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจไม่ใช่ฟังแล้วจะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ฟังเพราะรู้ว่า ขณะนี้ที่กำลังฟังเป็นคำที่นำไปสู่ความเพียรที่ประเสริฐ เพราะแม้แต่สัมมาวายามะความเพียร ต้องเป็นความเพียรที่ประเสริฐ ไม่ใช่ความเพียรไปทำอย่างอื่น ความเพียรที่ประเสริฐก็คืออดทนที่จะรู้ว่า สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีความเข้าใจที่จะละความไม่รู้ ทีละเล็กทีละน้อย การคลายการยึดถือก็ไม่มี แล้วจะไปดับการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ด้วยปัญญาที่เห็นความจริงแล้วดับการยึดถือ
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นปัญญาความเข้าใจก็คือพรหมจรรย์
ท่านอาจารย์ แน่นอนสัมมาทิฏฐิคืออะไร องค์ที่หนึ่งคืออะไร
ผู้ฟัง คือสัมมาทิฏฐิเห็นชอบด้วยปัญญาตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมา คือถูกต้องตามความเป็นจริง ทิฏฐิ คือความเห็น ความเห็นที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าปัญญา ก็คือความเห็นนี้คือรู้ทั่ว ไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเห็นจะได้ยินสภาพธรรมใดก็ตามที่ปรากฏขณะนั้น เข้าถึงความเป็นจริง คือรู้ว่าขณะนั้นเป็น แต่เพียงสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วดับจริงหรือไม่ จะรู้ได้จริงๆ เมื่อสภาพนั้นปรากฏเท่านั้นแต่ถ้าสภาพธรรมนั้นไม่ปรากฏก็เพียงคิด มีหนทางเดียวที่จะประเสริฐที่จะพ้นจากกิเลส และดับกิเลสได้หมดเป็นสมุทเฉท ไม่เกิดอีกเลยตามลำดับ เกิดมาแล้วกว่าจะมีตาหูจมูกลิ้นกายร่างกายครบ มีสติปัญญามีบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อนทำให้ได้ยินได้ฟัง แล้วก็ต่อไปก็ไม่รู้ใครรู้บ้างว่าจะเป็นอะไร เดี๋ยวนี้ก็ได้เมื่อไหร่ก็ได้เมื่อถึงแก่กรรม คือกรรมที่ทำให้เป็นบุคคลนี้สิ้นสุด ไม่มีคนนี้อีกเลย มีเฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ก่อนนั้นก็ไม่มีคนนี้ จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีคนนี้อีก เหลืออะไร ไม่มีอะไรเหลือเลยมีแต่ชื่อ เพราะฉะนั้นชื่อเท่านั้นที่ปรากฏ แต่สภาพธรรมสักอย่างหนึ่ง แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่เหลือ ทันทีที่เห็น เห็นดับ ทันทีที่คิด คิดดับ ทุกอย่างกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้ เพราะเป็นการที่จะละความไม่รู้ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ซึ่งนำมาซึ่งกิเลสอีกมากมาย เพราะฉะนั้นผลทางที่ประเสริฐก็คือ การเข้าใจถูกต้อง และนำไปสู่การที่จะดับกิเลสเป็นสมุทเฉก จึงรู้ว่าเป็นสาวกเป็นผู้ที่ฟังพระธรรม และดำเนินรอยตามพระบาทคืออบรมเจริญปัญญา