โอกาสที่ได้ฟังธรรม


    การที่จะได้มีโอกาสฟังพระธรรม เป็นเพราะบุญที่กระทำไว้แล้วในกาลก่อน และจะ เป็นปัจจัยให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งละเอียดลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ตาม ความเป็นจริง เป็นไปเพื่อละความไม่รู้ และความติดข้อง


    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องยาก และก็เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือไม่ประมาท ให้รู้ว่าแต่ละคำที่เราได้ยินได้ฟังมาแล้ว จะน้อยจะมากสักเท่าไหร่ ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปขวนขวายหาอย่างอื่น เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้จักธรรม ก็คือว่าไม่มีทางที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แต่ว่าการที่เราได้เข้าใจว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่เราไปคิดเรื่องอื่นหมด พยายามดูตำราเล่มนั้นเล่มนี้ ฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่รู้รึเปล่าว่าเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เดี๋ยวนี้ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่า ชีวิตอยู่ที่หนึ่งขณะ ถ้าไม่มีขณะนี้เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีชีวิต และถ้าหนึ่งขณะนี้ดับหมดสิ้นไปไม่เหลือเลยก็ไม่มีชีวิต แต่ว่าเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาเพราะอะไร เกิดมาหลากหลายต่างกันมาก ทั้งๆ ที่ก็มีแค่ตาเห็น มีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ก็คิดนึกเรื่องอื่นหมดเลย แม้แต่เดี๋ยวนี้ที่ก็กำลังเห็น กำลังได้ยิน แล้วแต่ว่าจะมีกลิ่นปรากฏหรือไม่ มีรสปรากฏหรือไม่ แต่แน่นอนก็คือว่า ต้องมีเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวปรากฏเป็นปกติ ไม่เคยรู้ตั้งแต่เกิดมา ใครรู้บ้างความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ มีแต่วิชาการต่างๆ ให้ทำอย่างนั้นให้คิดอย่างนี้ ตลอดไปจนกว่าจะได้ฟังพระธรรมได้รู้ว่า แท้ที่จริงจะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แต่เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏไม่ขาด ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวปรากฏทางตา เดี๋ยวปรากฏทางหู เดี๋ยวปรากฏทางใจ ทั้งวันไม่จบ และก็ทุกวันด้วย ก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นการมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม และเห็นประโยชน์จริงๆ ประโยชน์สูงสุดคือได้มีโอกาสเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นคิดเองไม่ได้แน่เลย คิดเองจะคิดเรื่องอะไรเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้กำลังคิด คิดเองคิดเรื่องอะไร เห็นไหม กำลังคิดก็ไม่บอกหรือกำลังคิดก็บอกไม่ได้ เพราะว่าคิดแล้วก็หมดไป คิดอยู่แท้ๆ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วก็คือว่า ถ้าไม่ได้กระทำบุญไว้แต่ปางก่อนไม่มีโอกาสได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ได้ยินคำว่าพระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงได้ยินแล้วก็ประมาท พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แค่รู้จักชื่อ สูงสุดเพราะอะไร ใครๆ ก็กราบไหว้ นอกจากคนที่ไม่รู้คุณ ไม่ได้ยินเลย แต่ว่าถ้าได้ยินว่าประเทศนี้ ถิ่นนี้ เมืองนี้มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระภิกษุสงฆ์เป็นที่สักการะ เป็นที่เลื่อมใส เป็นที่เคารพ ก็รู้เท่านี้ รู้อะไรมากกว่านี้หรือไม่ แต่ถ้าไม่รู้อะไรมากกว่านี้ตลอดชีวิตก็เป็นอย่างนี้ แล้วก็จากโลกนี้ไปไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกับมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยที่สุดมีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นโอกาสนี้มาจากไหนต้องมีเหตุในอดีตที่ได้กระทำไว้ ใครก็ไม่สามารถจะรู้ว่าชาติก่อนเราเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร แต่เลือกไม่ได้เลย ชีวิตต้องเป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้นชาตินี้ก็เป็นผลคือ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ไม่รู้เลยว่าเกิดมามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ไม่ใช่เพื่อเข้าใจถูกต้องเลย แต่เพื่อให้ติดข้องอย่างมาก ไปเรื่อยๆ ทุกวันไม่รู้จบ

    เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่มีการได้ยินได้ฟังโทษของความติดข้องว่า เพราะมีความติดข้องทำให้เกิดความทุกข์ ไม่อยากพลัดพราก ไม่อยากจาก อยู่ในโลกนี้นานๆ ก็ดี แต่ว่าตามความเป็นจริงดีหรือ อยู่ในโลกนี้นานๆ ดีไหมเมื่อวานนี้ เห็น ติดข้องแล้ว สนุกสนานเพลิดเพลินเป็นสุข หมดแล้วไม่เหลือเลย หาอีกไม่ได้ในสังสารวัฎ ไม่มีเลย เพราะจะแค่ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจถูก ตรงกันข้ามกับคนที่ฟัง และอยากจะรู้มากขึ้น อยากจะประจักษ์การเกิดดับของธรรม อยากจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม อยากจะถึงนิพพานแต่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว เดี๋ยวนี้คืออะไรก็ไม่รู้ ได้ยินเเต่ชื่อก็อยากเสียแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็คือว่าเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในความลึกซึ้งของพระธรรม และกระทั่งมีความเข้าใจที่ถูกต้องนั้นเป็นประโยชน์ที่สุด แต่ว่าถ้าเข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิวเผินก็เท่ากับห่างไกลจากพระสัทธรรม ไกลออกไป ไกลออกไป เหมือนคนที่ไกลออกไป ไกลออกไป แม้มีการฟังธรรมก็ไม่ฟัง เพราะเหตุว่าเขาอยู่ไกลต่อการที่จะได้ยินได้ฟัง ได้เห็นประโยชน์ของการฟังธรรม

    เพราะฉะนั้นแม้ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง และยาก ผลของการฟังก็คือว่าเข้าใจความจริง ว่าความจริงคือให้เข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริงตามที่ได้ฟังทีละเล็กทีละน้อย เช่น ได้ฟังว่า กำลังเห็น บางคนบอกไม่ตื่นเต้นพูดอะไรธรรมดา ก็เห็นกันอยู่ทุกวัน ต้องพูดอะไร แต่ถ้าไม่มีเห็น จะรู้อะไร ถ้าไม่มีได้ยิน ปัญญาจะเข้าใจอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีนี้ทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องได้ หรือว่าทำให้ไม่รู้เหมือนเดิม แล้วก็ติดข้องต่อไป โทษของความติดข้องนี้มีมากสุดที่จะพรรณนาได้ แต่เพราะไม่รู้จึงเข้าใจว่า ควรติดข้องมากๆ ทุกคนคิดอย่างนี้หรือไม่ หรือเป็นผู้ที่ตรง ทั้งวันแสวงหาแต่สิ่งที่ติดข้อง

    สำหรับผู้ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ก็มีโอกาสที่ว่าเป็นผู้ที่ติดข้องแสวงหาทุกอย่างนี้ ก็ยังเห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ก็เป็นเหตุที่จะให้ในการได้ยินได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจขึ้น แต่เปรียบเทียบความติดข้อง และความไม่รู้นานแสนนาน กับการฟังพระธรรมคำของผู้ที่ตรัสรู้ ที่สามารถที่จะให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ได้ถึงที่สุด ก็ต้องอีกไกล และอีกนาน รอได้ไหม รอไม่ได้คือไม่รู้ต่อไป ถึงจะรอหรือไม่รอก็ไม่รู้ ไม่ต้องคิดว่าจะได้หรือไม่ได้ ไม่อยากจะรอแล้ว หรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งเดี๋ยวนี้ ตรงตามความเป็นจริง ก็ไม่มีทางเลย ที่จะได้รับประโยชน์จากการได้ยินคำว่าพระรัตนตรัย ได้ยินแต่ชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงดับกิเลส ทรงแสดงพระธรรม มีผู้ที่ฟังเป็นสาวกรู้แจ้งอริยสัจธรรม รวมแล้วก็เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ เท่านี้พอไหม แค่คำไม่มีทางเลย

    เพราะฉะนั้นการรู้จริงต้องเป็นคนที่ละเอียด และก็รู้ว่าการฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มี เพื่อละความไม่รู้ และความติดข้อง ซึ่งฟังเผินๆ เราก็รู้ว่าความรู้กับความไม่รู้ ความรู้ต้องดีกว่าแน่ แต่เที่ยวไปรู้อื่นหมด ไม่ได้รู้เห็นที่กำลังเห็น ไม่ได้รู้ได้ยินซึ่งเป็นชีวิตแต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ชีวิตก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ก็เป็นผู้ที่ยังคงไม่รู้ความจริง และเมื่อมีโอกาสได้ฟังแล้วไม่ประมาท เป็นพระปัจฉิมวาจา จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมให้รู้ว่าขณะนี้ กำลังฟังสิ่งที่มีจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ได้ ก็ต้องอาศัยการฟังด้วยความเป็นผู้ตรงเพื่อเข้าใจถูก


    หมายเลข 10589
    13 พ.ค. 2567